MOST POPULAR

Archive for March 2017

นิยายเรื่องแรกของปู่โบ๊ต - DESTINY R. - นักเรียนพิเศษกับโรงเรียนเปลี่ยนโชคชะตา ตอนที่ 1

By : Unknown
ปล. เรื่องราวที่ท่านทั้งหลายกำลังจะอ่านต่อไปนี้ ไม่ได้โปรเจคที่ปู่ทำเป็นปัจจุบันแล้ว เป็นโปรเจคแรกที่เขียนขึ้นมาเพื่อตอบสนองสำหรับผู้ที่อยากอ่านเล่นๆ เป็นตัวอย่าง หรือรูปแบบของการแต่งนิยาย แบบมือสมัครเล่นของปู่โบ๊ต ตอนอยู่ ม.4 เท่านั้น หากมีข้อผิดพลาดอะไรต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้คำ การเรียบเรียงประโยค ฯลฯ ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม

ห้าม !! นำไปเผยแพร่ซ่ำ หรือดัดแปลงเพื่อใช้ในการค้าขาย โดยเด็ดขาด ไม่งั้นขอให้บ้านบึ้ม

สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเดิมและอัพเดทข้อมูลข่าวสารของรายการ ได้ที่
Facebook Fanpage : https://www.facebook.com/phuboatanibon
Official Youtube Channel : http://anibonofficial.blogspot.com/


DESTINY R.
นักเรียนพิเศษกับโรงเรียนเปลี่ยนโชคชะตา
เล่มที่ 1 " ชีวิตหลังจากสองสัปดาห์แรก Life After The First Two Weeks ”
ตอนที่ 1

                   เป็นอย่างที่ทราบกันดีว่าชีวิตในช่วงวัยเรียนวัยรุ่นเป็นช่วงชีวิตที่สนุกสนาน รื่นเริง และเต็มไปด้วยความทรงจำอันแสนประทับใจ ชีวิตมันมีกันหลากหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตที่ยากลำบาก ชีวิตที่ต่อสู้ดิ้นรน ชีวิตที่สนุกสนาน และชีวิตที่เต็มไปด้วยความสำเร็จ สิ่งเหล่านี้เราสามารถพบเจอได้ในชีวิตวัยรุ่นทั่วๆ ไปก่อนที่พวกเขาจะต้องเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต ผมเคยมีช่วงชีวิตที่พบเจอทั้งเรื่องที่เลวร้ายที่สุด และยอดเยี่ยมที่สุด ผมคิดว่าชีวิตอาจจะต้องดำเนินต่อไปเหมือนเดิมในอนาคต โชคชะตาที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง วนเวียนต่อไปไม่มีที่สิ้นสุดเป็นสิ่งที่ผมไม่สามารถยอมรับได้ ผมพยายามทุกวิถีทาง ทุกอย่างที่จะเปลี่ยนโชคชะตาตัวเอง ค้นหาตัวตนที่แท้จริง และเปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อสิ่งดีๆ หนทางที่ยากลำบาก และความสุขเพียงเล็กๆ น้อยๆ ในช่วงเวลา 5 ปีที่แสนสั้นทำให้ผมรู้สัจธรรมว่า ชีวิตไม่สามารถย้ำอยู่ที่เดิมจนไปถึงวันตายได้ เราไม่สามารถปฏิเสธตัวตนที่แท้จริงของตนเอง เราต้องอยู่กับตัวเรา ความคิดเหล่านี้ได้เริ่มเข้าสู่จิตใจอันหม่นหมอง เปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี หลังจากที่ผมสามารถสอบเข้าโรงเรียนแห่งหนึ่งอย่างยากลำบากที่มีชื่อว่า เดสตินี่ ได้
                  “ ตี้ดๆ !! ติ้ดๆ !! ขณะนี้เวลา 7 นาฬิกา 0 นาที 0 วินาที 0 เศษวินาที 0 ของเศษวินาที 0 ของเศษของเศษวินาที 0 ของเศษของเศษของเศษวินาที...” เสียงนาฬิกาปลุกที่ดังในเช้า เป็นอะไรที่กวนประสาทผมในตอนอรุณเบิกฟ้ามาก จริงๆ ผมก็ตื่นแบบธรรมดาได้ แต่ไม่รู้ว่าเมื่อวานจะตั้งปลุกไว้เพื่ออะไร ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน 
                  “ อะไรของเราว่ะเนี่ย นี่เผลอตั้งนาฬิกาปลุกปัญญาอ่อนนี่อีกแล้วเรอะ !! ” ผมพูดด้วยอาการที่งัวเงียเนื่องจากพึ่งตื่นนอนพร้อมกับปิดนาฬิกาที่ร้องถึงเศษวินาทีไม่หยุด
                  “ ช่างเถอะ นี่กี่โมงกี่ยามแล้วเนี่ย สงสัยแค่ 6 โมงเช้าล่ะมั้ง ไม่น่าจะสายถึงขนาดต้องตั้งนาฬิกาปลุกหรอก ” ผมบ่นพึมพำ เกาหัวเล็กน้อยก่อนที่จะลุกไปอาบน้ำ
                  “ เอ๋ะเดี่ยวก่อน !! ถ้านี่ 6 โมงเช้า แล้วเมื่อกี้นาฬิกาทำไมพูด 7 โมงเช้าล่ะเนี่ย ” อาการมึนที่เกิดขึ้นในหัวสมองเริ่มพุดขึ้น ไม่ช้าผมก็เดินไปหยิบนาฬิกาปลุกตัวนั้นที่วางอยู่ตรงหัวเตียงของผม
                  “ เวรล่ะ !! ว่าแล้วเชียว ” ผมเมื่อดูนาฬิกาตัวนี้เสร็จปับก็ต้องรีบทำภารกิจส่วนตัวอย่างเร่งรีบ ก่อนที่จะหยิบรองเท้าหน้าบ้าน รีบวิ่งออกจากบ้านเพื่อไปขึ้นรถประจำทางหน้าหมู่บ้านนั้นแหละ ระหว่างทางที่วิ่งมาผมนึกได้อย่างหนึ่ง จึงหยุดวิ่งแล้วก้มดูลงพื้น
                  “ แล้วเราเป็นอะไรล่ะเนี่ย !! วิ่งมาตั้งนานไม่ได้ใส่รองเท้าซะงั้น ” นึกขึ้นได้อย่างนั้น ผมจึงก้มใส่รองเท้าแล้ววิ่งต่อ
                  “ ซวย ซวย ซวย !! ไม่น่าตื่นสายเลยเรา อย่างนี่ก็ไม่ได้ทำการบ้านตอนเช้าพอดีสิ บ้าเอ๋ย !! ” ผมวิ่งบ่นไปตามประสาของคนที่หัวเสีย จนในที่สุดก็วิ่งจนถึงหน้าหมู่บ้าน โชคดีที่รถประจำทางมาพอดีผมจึงรีบกระโดดขึ้นไปโดยไม่เกรงใจ โชคดีที่แถวนี้ไม่ค่อยมีคนอาศัยอยู่เยอะรถจึงว่าง ผมเลือกที่นั่งอยู่สักพักจนได้ที่ริมหน้าต่างข้างหน้าใกล้คนขับ ระหว่างการเดินทางก็พักเหนื่อยจากการวิ่งแล้วมองชมวิวที่อยู่ข้างนอกหน้าต่าง
                  “ ดีนะเนี่ยที่รถมาทัน ไม่งั้นมีหวังวันนี้คงเครียดแน่ๆ ” บ่นไปพร้อมกับหัวเราะกับตัวเองเล็กน้อย
                  โรงเรียน Destiny แห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตตัวเมืองที่ทันสมัยในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น ห้างสรรพสินค้าที่โด่งดัง หอสมุดที่ใหญ่ที่สุดในเมือง หรือ แม้แต่สวนสาธารณะที่มีคนแวะเวียนไม่ต่ำกว่าพันคนในทุกๆ วัน ซึ่งนั้นทำให้ผลที่ได้เป็นที่น่าพอใจสำหรับผมมากจนถึงมากที่สุด โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนที่โด่งดังมากๆ แทบจะไม่เคยมีชื่อเสียงในทางที่เสื่อมเสียเลยสักครั้งเดียว แต่สุดท้ายแล้วนั้นก็คงไม่ใช้เหตุผลที่ว่า ทำไมตอนนี้โรงเรียนนี่ถึงอยากมีคนเข้าเรียนมากมายนัก อาจจะเป็นเพราะว่า หลายคนคงเบื่อกับการที่จะต้องใช้ชีวิตการเรียนในโรงเรียนเดิมๆ ของตัวเอง ที่อาจจะมีแต่เรื่องซ่ำซาก จำเจ น่าเบื่อ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเท่าโรงเรียนนี้ หรือ ไม่ก็อาจจะเป็นเพราะว่า โรงเรียนที่ผมเข้าศึกษาอยู่ในขณะนี้ไม่ใช้โรงเรียนธรรมดาๆ ในความคิดของใครหลายๆ คนนี้น่ะสิ
                  โรงเรียน Destiny (เดสตินี่) เป็นโรงเรียนที่ไม่ปกติกว่าโรงเรียนอื่น เพราะว่า โรงเรียนนี้รับแต่คนที่มีพลังวิเศษ พลังแห่งการต่อสู้ ช่วยเหลือ ปกป้อง และ สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ โดยใช้ศาสตร์ของพลังมหัศจรรย์ที่มีลักษณะเป็นคลื่นแฝงอยู่ในร่างกายของคนทั่วไปเรียกกันว่า “ โฮโลแกรม ” นอกจากนี้ยังรวมไปถึงผู้ที่มีความสามารถในเชิงการช่าง หุ่นยนต์ หรือ มีความเชี่ยวชาญในเรื่องเฉพาะทางที่โรงเรียนต้องการ ยกตัวอย่างเช่น ความสามารถในด้านงานครัว ความสามารถในการออกแบบโครงสร้างทางวิศวกรรมก็สามารถเข้าโรงเรียนนี้ได้ แต่ยังคงต้องผ่านการสอบคัดเลือกอยู่ดี อาจจะฟังดูเวอร์ๆ แต่สิ่งที่ผมว่ามานี้มันคือ เรื่องจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในโลกของผมเอง ในทุกๆ 2 ปีจะมีคนพยายามอย่างสุดฝีไม้ลายมือ พยายามจนเลือดตาแทบกระเด็น เพื่อสอบเข้าโรงเรียนนี้ไม่ต่ำกว่า 10,000 คน ทั้งที่โรงเรียนนี้รับจำนวนนักเรียนเพียงแค่น้อยนิดไม่เกิน 250 คน โอกาสมีเพียง 1 ใน 40 เท่านั้นที่จะสอบเข้าโรงเรียนนี้ได้ ซึ่งบางคนอาจจะคิดไปเลยว่า มันไม่คุ้มค่าที่จะมาเสี่ยงหรือเสียเวลา แต่ท้ายที่สุดก็ยังมีคนหลายคนที่ยังอยากจะเข้าโรงเรียนนี้อยู่ดี เพราะโรงเรียนนี้ขึ้นชื่อว่าเป็น “ โรงเรียนเปลี่ยนโชคชะตา ” ของผู้ที่เข้าเรียนอยู่ที่นี้ไงล่ะ เจ่งไปเลยว่าไหม 
                  “ นี่เธอวันนี้หลังจากเลิกเรียนแล้ว ไปที่ไหนกันต่อดีอ่ะ ห้องสมุด หรือว่า สวนข้างโรงเรียนดีอ่ะ ”
                  “ ฉันว่านะ ไปร้านอาหารหน้าโรงเรียนดีกว่า รู้สึกว่าวันนี้จะมีเมนูใหม่ด้วยนะ !! ”
                  “ เอ๋ !! งั้นเหรอ ดีล่ะ !! งั้นวันนี้ไปกันดีกว่าเนอะ ” งั้นวันนี้ผมคงไม่ไปดีกว่า นักเรียนผู้หญิงสองคนนี้เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันกับผมกำลังนั่งคุยอย่างเมามันส์ข้างหลังที่นั่งของผม ก็อย่างว่าแหละนะ ร้านอาหารของเพื่อนผมที่ทั้งสองคนพูดถึงน่ะน่าไปจริงๆ เพื่อนที่ห้องของผมซึ่งเป็นเจ้าของร้านยังชวนผมอยู่เลย
                  ผมเข้าเรียนที่นี่ได้ประมาณ 2 สัปดาห์แล้ว ในขณะนี้เองผมก็ยังคงคิดอยู่เลยว่ามันเป็นเพราะความบังเอิญที่สามารถสอบติดโรงเรียนนี้ได้ภายในการสอบครั้งแรก ซึ่งปกติมีเพียงน้อยคนที่มีโอกาสโชคดีเช่นนี้ เนื่องจากส่วนใหญ่เขาจะสอบไม่ติดในรอบแรกกัน บางคนยอมมาสอบใหม่ใน 2 ปีถัดมาโดยต้องยอมเรียนในโรงเรียนธรรมดาไปก่อนระหว่างนั้น
                  ในตอนแรกผมคิดว่า ที่นี้น่าจะเป็นโรงเรียนที่มีแต่คนที่หยิ่งทะนงในความสามารถ หรือไม่ก็ดูถูกผมที่ว่า ผมดูเหมือนเป็นคนที่ไม่มีอะไรวิเศษเหมือนที่คนอื่นในโรงเรียนนี่มี ไม่หรอกผมก็มีสิ่งเหล่านั้นเหมือนที่พวกเขามีเช่นกัน เพียงแต่สำหรับผมแล้วในตอนนี้มันเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องโชว์ให้คนอื่นเห็นมากกว่า อีกอย่างในการใช้มันแต่ล่ะครั้งเป็นอะไรที่เหนื่อยมากเลยนะ ก็เลยไม่ใช้ ปล่อยไว้อย่างงั้นแหละ ยังไงๆ ผมคิดว่าต่อให้เอาออกมาใช้มันก็คงไม่เลิศเลออลังการเหมือนของคนอื่นเขาแน่นอน ช่างเถอะ !! ท้ายที่สุดแล้ว เวลาที่อยู่ภายในโรงเรียนแห่งนี้ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ความคิดไร้สาระพวกนั้นก็กลายเป็นความคิดที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงเลยทีเดียว มันไม่ได้เหมือนกันทุกอย่างกับที่ผมคิดเอาไว้ ทุกสิ่งทุกอย่างในโรงเรียนโรงเรียนเดสตินี่แห่งนี้กลับกลายเป็นตรงกันข้ามกับที่ผมคิดเอาไว้ หลายคนอาจจะคิดว่า โรงเรียนที่มีการแข่งขันสูงตอนสอบเข้า จะเป็นโรงเรียนในแบบที่เอ่ยไว้ในความคิดของผมข้างต้น ใช้ไหม ? ไม่จริง สำหรับในโรงเรียนเดสตินี่ 
                  “ อีก 1 ชั่วโมงโรงเรียน จะเข้าเรียนคาบแรกเวลา 8.30 น. ขอให้นักเรียนทุกคนรีบเร่งมาโรงเรียนโดยด่วน ทำทุกวิถีทางที่จะมาให้เร็วที่สุด ก่อนที่งานจะเข้านะจ้ะ !! ประกาศไว้ ณ. เวลา 7.30 น. โรงเรียนเดสตินี่ ผ่านนาฬิกาดิจิทัลข้อมือส่วนบุคคล ” นาฬิกาข้อมือข้างขวาของผมที่ทางโรงเรียนแจกให้นักเรียนที่เข้าเรียนทุกคนร้องเตือนพร้อมกับสั่น ว่าแล้วคงต้องรีบหน่อย เพราะวันนี้ผมมีธุระกับเพื่อนที่ห้อง แม้นาฬิกาจะดังแต่ผู้หญิงสองคนที่คุยกันอยู่ก็ยังคุยกันต่อไปไม่ได้สนใจคำร้องเตือนที่ร้องจากนาฬิกาแต่อย่างใด
                  ในโรงเรียนนี้เปิดสอนด้วยกัน 3 ชั้นปี แบ่งเป็นปี 4 ปี 5 และปี 6 ใช้เวลาเรียนชั้นละ 2 ปีรวมการเรียนทั้งสิ้นในโรงเรียนเดสตินี่ทั้งหมด 6 ปี ในแต่ล่ะชั้นปีก็จะมีด้วยกัน 6 ชั้นเรียน ซึ่งแต่ล่ะห้องก็จะมีความโดดเด่นแตกต่างกันไป ไม่มีห้องไหนเก่งที่สุด ซึ่งนักเรียนที่จะได้ไปประจำ ณ ห้องนั้นๆ มาจากการคัดเลือกของเหล่าคณาจารย์เป็นรายบุคคล ด้วยผลคะแนนสอบและผลประเมินจากการสอบสัมภาษณ์ ด้วยเหตุที่ว่าจำนวนนักเรียนที่รับนั้นมีค่อนข้างน้อยไม่ถึง 250 คนในแต่ล่ะชั้นปี จึงทำให้การดำเนินการของทางโรงเรียนนี้เป็นไปด้วยความรวดเร็วทั้งที่ในโรงเรียนนี้มีคุณครูไม่ถึง 30 คนและในโรงเรียนมีแต่รักษาการผู้อำนวยการทำหน้าที่อยู่เท่านั้น แทบไม่มีใครในโรงเรียนนี้รู้เลยว่า ผู้อำนวยการตอนนี้ไปอยู่ที่ไหน แต่นั้นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการทำงานของทางโรงเรียนเลย ต่อให้ไม่มีผู้อำนวยการอยู่ก็เถอะ ว่ากันว่าผู้อำนวยการคนนี้เป็นผู้หญิงนะ แต่ไม่รู้ว่าเป็นความจริงรึป่าว เพราะ แทบจะไม่มีใครเคยเห็นหน้าท่านเลยน่ะสิ ในที่สุดผมก็ลงจากรถประจำทางซึ่งมาจอดตรงข้ามหน้าโรงเรียนแล้ว ซึ่งนับจากตรงนี้ผมต้องวิ่งยาวเพื่อไปขึ้นสะพานลอยที่อยู่ไกลมาก
                  “ เอาล่ะ เตรียมพร้อมที่จะวิ่งแล้ว สงสัยคงต้องหอบกินแน่ๆ เลย บ้าเอ๋ย !! ” บ่นเสร็จผมก็วิ่งไปอย่างไม่รอช้า โดยไม่สนเลยว่าข้างหลังจะเกิดอะไรขึ้น
                  “ หมอนั้นจะรีบไปไหนกัน ทำยังกับจะรีบไปกู้โลกอย่างงั้นแหละ โรงเรียนยังไม่เข้าสักหน่อย ”
                  “ นั้นสิเนอะ !! อย่าไปสนเลย คุยเรื่องที่เราคุยต่อกันเถอะ ” นักเรียนหญิงทั้งสองคนที่พึ่งลงมาจากรถมาพร้อมกันกับผมก็ต้องแปลกใจกับการกระทำอันเร่งรีบเกินเหตุจำเป็นของผม แม้พวกเธอจะยืนอึ้งอยู่สักพัก แต่ไม่นานนักพวกเธอก็เบนสายตาไม่ได้ให้ความสนใจอะไรและเดินคุยกันต่ออย่างสบายใจ
                  จากการคัดเลือกและได้ทำการประกาศผลห้องเรียนที่ได้เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนหลังจากประกาศผลสอบเข้าได้ไม่นานนัก ผมซึ่งดีใจจนตัวจะลอยกับการที่สอบเข้าโรงเรียนนี้ได้อยู่แล้วนั้น ก็ต้องประหลาดใจอย่างหนักกว่าเดิม เพราะว่า ห้องที่ผมได้คือ ห้อง 2 ซึ่งเป็นห้องที่เขาพูดต่อๆ กันมาว่ามีจำนวนคนน้อยที่สุดประมาณ 20 กว่าคนเอง เพราะความเคยชินที่สมัยก่อนตอนอยู่ประถม ผมเรียนในห้องเรียนที่มีจำนวนคนน้อยอย่างนี้แหละ มันก็เลยสร้างเจตคติส่วนตัวที่ว่า “ ยิ่งคนในกลุ่มห้องเรียนมีน้อยเท่าไหร่ ความสนิทสนมก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ” แต่มันคงไม่เกี่ยวหรอกมั้ง เพราะ อันตัวผมเองเป็นคนที่ชอบความเงียบสงบ ก็เลยอาจจะชอบบรรยากาศที่ว่าก็ได้ คงไม่เกี่ยวกับคนอื่น
                  “ แฮก แฮก ในที่สุดก็มาถึงสินะ เกือบตายแหนะ ยิ่งไม่ค่อยชอบวิ่งไกลๆ อยู่ด้วย บ้าเอ๋ย !! ” ผมบ่นกับตัวเองเบาๆ หลังจากที่วิ่งบ่นในใจตลอดทาง ในที่สุดก็มาถึงหน้าโรงเรียน ผมลองสำรวจรอบๆ ดูก่อนว่าตัวเองทำอะไรผิดปกติหรือไม่ ก่อนที่จะเดินไปที่อาคารเรียนของผมเพื่อไปที่ห้อง
หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก ตอนนี้เวลา 7.45 น. ผมนั้นเองกำลังเดินอยู่ตรงทางเดินของชั้น 2 บริเวณอาคารอาณาเขตของห้อง 2 ที่ทางโรงเรียนจัดไว้ให้เบื้องต้นซึ่งอยู่ทางซีกซ้ายของโรงเรียนประมาณ 1 ตึก จำนวน 6 ชั้น เลยทีเดียว ผมเดินตรงไปทางห้องเรียนของผมที่อยู่สุดทางเดิน ที่เหลือที่ผมเดินผ่านมานั้นเป็นห้องฝึกที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่และห้องพักครูซึ่งมีคุณครูประจำชั้นของห้องผมอาศัยนอนพัก ความจริงวันนี้ผมต้องมาเช้ากว่านี้เพราะวันนี้มีธุระจำเป็นที่ต้องสะสาง อะไรนะเหรอ ก็สายโทรศัพท์ปริศนาที่โทรมาเมื่อวานนะสิ ทำเอาผมต้องมาเช้าเพื่อเคลียร์
                  “ สวัสดีค่ะ คะ...คือว่า นี่ใช้เบอร์ของคุณเรนดร้อปใช้ไหมค่ะ คะ...คือว่า ฉันมิ้งค่ะ มีเรื่องจะคุยด้วยน่ะค่ะ ” เสียงที่ดูสั่นๆ โทรมาหาผมกลางดึก ทำให้ผมรู้ทันทีว่าเป็นใครที่โทรมา
                  “ คร้าบ เรนดร้อปพูดอยู่ มีอะไรล่ะมิ้ง ทำไมถึงโทรมาหาฉันดึกดื่นขนาดนี้ล่ะ ” ตอนนั้นผมกำลังเล่นคอมพิวเตอร์อย่างเมามัน สายโทรศัพท์สายนี้จากมิ้งเพื่อนหญิงแสนสนิทของผมก็โทรมา
                  “ คุณอนันต์ !! พรุ่งนี้มาให้เช้าล่ะนะค่ะ เราต้องมีเรื่องมาคุยกันค่ะ ถ้ามาสายแม้แต่นิดเดียวรับรองจะเสียใจค่ะ ”
                  “ ตู้ด !! ตู้ด !! ขอโทษค่ะ เลขหมายปลายทางนี่ได้วางสายไปแล้วกรุณาวางโทรศัพท์ของคุณเพื่อไม่ให้เปลืองแบตเตอรี่ด้วยค่ะ ” เสียงจากสายโทรศัพท์ดังได้สักพักก็ดับลงปล่อยให้ผมจมปลักกับความงุนงง
                  ในความเป็นจริงนั้นการที่นักเรียนมาโรงเรียนค่อนข้างเช้านั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในโทรศัพท์เมื่อคืนกับธุระพันล้านเลย ส่วนใหญ่มักจะมีเหตุผลที่สำคัญอยู่นั้นก็คือ การมาทำการบ้านตอนช่วงเช้า การบ้านเป็นสิ่งที่ต้องทำที่บ้านแต่ในบางครั้งนั้นเราเองก็ไม่สามารถทำมันได้เหมือนกัน เราจึงแก้ปัญหาด้วยการมาขอคำปรึกษาจากเพื่อนที่โรงเรียนที่บางคนอาจจะทำได้ไม่ได้ว่ากันไป หรือ สิ้นสุดความพยายามด้วยการลอกของคนที่ทำได้นั้นเอง คิดดูเอานะว่าจริงรึป่าว ลองสมมติว่ามีเหตุการณ์หนึ่งขึ้นมาเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วที่ผ่านมา
                  “ แฮก แฮก (เอฟเฟคเสียงแสดงอาการเหนื่อย) การบ้าน 150 หน้าของอาจารย์อาร์ซิลเลียนเสร็จสักที ” ผมเหนื่อยทรุดตัวลงกับโต๊ะราวกับพึ่งกลับจากสนามรบที่แสนทรหด
                  “ นี่ !! ตกลงการบ้านหมดแล้วใช้ไหม พี่ ? ” ผมหันไปถามรุ่นพี่ที่นั่งข้างหลังฟังเพลงจากหูฟังอย่างสบายอารมณ์
                  “ หา !! ” ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยได้ยิน “ แกพูดว่าอะไรนะ น้องอนันต์ !! ” พี่เขาตะโกนถามผมในขณะที่เขากำลังโยกตัวไปมาตามจังหวะของเสียงเพลงในหูฟัง
                  “ ผมถามว่า การบ้านเนี่ยหมดแล้วใช้ไหม ไม่มีวิชาอื่นแล้วใช้ไหมพี่ ? ” ผมตะโกนตอบ
                  “ หา !! ” มันไม่ได้ยินอีกแล้ว “ ถามอะไรของน้องอ่ะ ? พี่ไม่ค่อยได้ยินที่น้องพูดเลย ” เขาตะโกนถาม ผมเห็นดังนั้นก็เริ่มรำคาญ จากนั้นผมก็เอื้อมมือไปหยิบหูฟังออกจากหูของเขา
                  “ พี่จะใส่ทำไม !!! ” ผมตะโกนใส่มันเต็มๆ จนทำให้รุ่นพี่คนนี้สะดุ้งตกใจเลย แล้วเขาก็หยิบหูฟังจากมือของผมที่หยิบมาเมื่อครู่จากหูของเขาเก็บใส่กระเป๋า และจากนั้นพี่เขาก็นั่งเก็กท่าหันหน้ามาผม กระแอ้มเสียงก่อนที่จะตอบคำถาม
                  “ อีก 50 หน้าของอาจารย์กอนนะเออ ทำใจหน่อยไอ้น้อง (ลากเสียงสั้นๆ แสดงอาการกวน) ” 
                  “ หา...? การบ้านที่ไหนอีกล่ะนั้น ผมว่าเมื่อวานที่ผมจดบันทึกเอาไว้ในหัว มันน่าจะหมดแล้วหนิพี่ ? ” 
                  “ อนันต์ !! แกเนี่ยนะ แน่ใจได้ยังไงว่าหมด ทำไมไม่จดบันทึกไว้ดีๆ อย่างพี่ล่ะ ”
                  “ ถามจริง เขามาสั่งตอนไหนห้ะ ? ” ผมถามด้วยอาการที่สงสัยอย่างสุดขีด
                  “ ก็ตอนก่อนจะกลับบ้าน แล้วก็...เอ๋ย !! ขอโทษๆ เมื่อวานเขามาสั่งตอนที่น้องกลับไปแล้วนะสิ ลืมบอกๆ ” เขาขอโทษแก้ตัวเล็กน้อย พร้อมเอามือตบที่ไหล่ของผมเบาๆ แต่นั้นเป็นความเบาที่ทำให้ไหล่ผมทรุดไปพอสมควร
                  “ ให้ตายเถอะ !! ” ผมถอนหายใจ
                  รุ่นพี่คนนี้ที่ผมกำลังคุยอยู่ด้วยมีชื่อว่า ไลก้า ลีโอชิน หรือชื่อเล่นของเจ้านี่คือ ชิน อายุ 18 ปี แก่โครตๆ ผู้ซึ่งพลาดการสอบของโรงเรียนมาถึง 2 ครั้ง เพราะ สอบตกภาควิชาทฤษฎีโฮโลแกรม แต่ในที่สุดก็สอบติดในครั้งที่ 3 หมอนี่เป็นเพื่อนสนิทคนแรกของผมในโรงเรียนแห่งนี้ เดิมทีในตอนแรกที่ผมรู้จักกับเขา เขาเป็นคนที่มีนิสัยค่อนข้างเงียบและสุขุมมาก ผมไม่กล้าเข้าใกล้เขาอยู่เหมือนกัน แต่พอเอาเข้าจริงๆ เขาเป็นคนที่คุยสนุกมากๆ เป็นคนที่พร้อมที่จะช่วยผมตลอดเวลา เป็นบุรุษที่แสนจะเพอร์เฟคในสายตาของเหล่าสาวแท้และสาวเทียมทั่วไปในโรงเรียน เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา นักเรียนหญิงห้องอื่นถึงขนาดมาจีบเลยล่ะ แต่หมอนี่ก็ปฏิเสธ พร้อมถึงอ้างเหตุผลอันซับซ้อนแก้ตัวอยู่ตลอด น่าเสียดายอยู่เหมือนกัน
                  “ ไม่เป็นไรๆ ทำแปปเดียวก็เสร็จ แต่คงต้องเหนื่อยหน่อยสินะ ” ผมพูดเสร็จก็ถอนหายใจ
                  “ ให้ช่วยไหมค่ะ พี่อนันต์ ? ดูเหมือนพี่จะเหนื่อยมากเลยนะ ลอกของฉันก็ได้ ไหนๆ พี่ก็อุตสาห์ช่วยฉันตั้งหลายครั้ง การบ้านแค่นี้ถ้าทำไม่ได้ลอกไปก่อนก็ได้ค่ะ แล้วไว้เดี่ยวฉันจะสอนให้ทีหลังนะ ” 
                  เพื่อนผู้หญิงที่ทั้งน่ารัก สดใส หุ่นอวบอั่น หน้าตาสะสวย ชอบช่วยเหลือคนอื่น และยังใจดีราวกับนางฟ้ากำลังประทานพรกับผม ชื่อของเธอคือ เทอสลี่ มีเดส หรือว่าชื่อเล่นที่เธอชอบให้เพื่อนเรียกคือ มิ้ง อายุ 16 ปี หญิงสาวไฟแรงที่สามารถสอบติดโรงเรียนนี้ได้ภายในครั้งเดียวหลังจากที่เธอจบมัธยมต้นมาหมาดๆ ด้วยเหตุนี้ทำให้เธอเป็นคนที่เก่งมากๆ ในห้องนี้ เธอเป็นคนที่นิสัยชอบช่วยคนอื่นอยู่ตลอดเวลา เป็นคนที่สวยมาก งามทั้งกาย ทั้งใจเชียวล่ะ 
                  “ ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่นี้สบายมาก อนันต์ เรนดร้อป ซะอย่าง ” ผมพูดแสดงความเกรงใจตอบเธอ
                  “ พี่มิ้ง !! พี่อย่าหลงกลตาบ้านั้นเฉียวล่ะ ไม่งั้นพี่จะต้องเสียใจ หนูจะไม่ยอมให้พี่ที่เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของหนูตกนรกไปพร้อมกับตาบ้านี่เด็ดขาด ” ผู้หญิงตัวเล็กๆ เพื่อนอีกคนของมิ้งกระซากแขนดึงตัวเธอออกมา
                  เพื่อนผู้หญิงของมิ้งคนนี้ที่ทั้งเตี้ย น่าอกแบน เอาแต่ใจตัวเอง และยังปากไม่ตรงกับใจราวกับนางมารซาตาน มีชื่อว่า คานาลิน เวสแฟร หรือที่ผมและมิ้งมักจะเรียกชื่อสั้นๆ ของเธอว่า คานะ อายุ 15 ปี อายุน้อยจนหลายๆ คนเรียกเธอว่าน้องเล็ก เธอเป็นคนที่เรียกว่า อาจจะเก่งที่สุดในห้องนี้เลยก็ได้ แต่เพราะเธอยังขาดประสบการณ์ทำให้เธอยังไม่โดดเด่นเท่าที่ควร เธอสามารถสอบติดโรงเรียน Destiny ได้ตั้งแต่ยังไม่จบมัธยมศึกษาปีที่ 3 ทำให้หลายๆ คนเกรงกลัวเธอไม่ใช้น้อย เธอเป็นคนที่มีนิสัยตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิงกับมิ้ง เป็นคนที่มีนิสัยเงียบไม่ค่อยคุยกับใครและคล้ายเด็กอยู่หลายๆ ด้าน มองไปมองมาแล้วก็น่ารักไปอีกแบบ แต่เสียดายเธอมือหนักไปหน่อย เธอเลยไม่ได้เพอร์เฟคเท่ากับมิ้ง
                  “ ทำไมล่ะ น้องคานะจัง ? ก็พี่อนันต์เขากำลังลำบากนะ พี่แค่อยากจะ.....”
                  “ เชื่อหนูสิ !! ” มิ้งนั้นที่อยากช่วยอยู่แล้วก็ทนความดิ้อดึงของยัยคานะไม่ได้ แถมพอพี่คานะเธอปฏิบัติตามแผนของเธอเสร็จ ก็หันมาแลบลิ้น เย้อยอผมราวกับผมเป็นผู้แพ้เขาอย่างหมดหนทาง
                  “ วันนี้ดวงซวยหน่อยนะ คุณน้อง ” พี่ชินพูดแสดงความยินดีกับผม
                  “ เออ !! ดีนะที่เป็นแค่วันนี้ จะว่าไปจริงๆ พี่น่าจะช่วยผมหน่อยนะ พี่ชิน สักนิดสักหน่อยก็ยังดี ”
                  “ เพื่อนที่ดีต้องคอยชี้แนะสิ่งเป็นประโยชน์ให้เว้ย !! การลอกการบ้านคนอื่นเป็นอะไรที่ไม่ถูก ” เขาส่ายหน้าพยายามเตือนสติผมไม่ให้ทำในสิ่งที่ผิดมหันต์ 
                  “ เมื่อวันก่อนพี่ยังลอกการบ้านภาควิชาโฮโลแกรมของผมอยู่เลยนะพี่  ” 
                  “ นิดหน่อยน่า !! ถือว่าเป็นหุ้นร่วมด้วยกันไง พี่น้องกันๆ ”
                  “ โอ้ !! รักพี่ชายคนนี้ที่สุดในโลกเลย จริงๆ นะ จริ้งๆ ” ผมพูดประชดใส่พี่เขาไปเต็มๆ ไม่รู้นะว่าพี่ชินมันรู้รึเปล่า เพราะ ปกติพี่คนสนิทคนนี้มักจะมีท่าทางบุคลิกที่เคร่งครึม ไม่ค่อยได้พูดกับใครมากนักนอกจากผม ไม่รู้วันนี้พี่มันถูกหวยอะไรรึเปล่าถึงคุยกับผมได้ตลกขนาดนี้ 
                  เรื่องในวันก่อนๆ ที่ผ่านมาได้ไม่นานนัก ผมยังจำได้ไม่ลืมทำเอาขนลุกไปครู่หนึ่ง มันไม่ใช้เหตุการณ์สมมติหรอก จริงๆ แล้ว ถ้าจะให้พูดไปก็อาจจะสามารถกล่าวถึงเรื่องราวการมาโรงเรียนตอนเช้าได้มากมายเป็นพันเรื่องไม่ว่าจะเป็นดี หรือ ร้าย ไม่ได้มีแค่เรื่องนี้หรอก ยกตัวอย่างเหตุการณ์สมมติอีกเหตุการณ์หนึ่ง นั้นคือ ธรรมเนียมปฏิบัติการเดินเข้าประตูห้องเรียนของผมที่จะต้องโดนลูกเตะบอลโลกของคุณหญิงมิ้งกับยัยคานะถีบเข้ากลางอกทุกวัน ถามว่าอะไรคือเหตุผลงั้นเหรอ คำตอบคือ “ ไม่มี ” สองคนนี้มักจะมะรุมมะตุมผลัดกันเป็นนักมวยเตะกระสอบทรายอยู่เสมอ ไม่ได้จะคิดไปในแง่ลบหรอกนะว่าทั้งสองอยากแกล้ง แต่อย่าว่ากันเลย จากการสังเกตของพี่ชิน ก็พอจะบอกได้ว่าสองคนกำลังแสดงอาการ “ หมั่นไส้ ” อย่างเห็นได้ชัดเจน น้องสองคนนี้เขาหมั่นไส้ผมอะไรน่ะเหรอ ก็อย่างเช่นการไปคุยกับรุ่นพี่รุ่นน้องนักเรียนผู้หญิงคนอื่นหรือไม่ก็ทำตัวใจบุญคอยช่วยเหลืออิสตรี ซึ่งสิ่งเหล่านั่นเป็นสิ่งที่ผมไม่ได้อยากจะทำมากเท่าใดนักหรอก แต่พอสองคนนั้นมาเห็นโดยบังเอิญทีไรก็มักจะเกิดจินตภาพสุดวิเศษว่าผมกำลังทำตัวเป็นพวกกะล่อน จนเกิดการลงโทษดังกล่าวขึ้นมาเป็นประจำทุกวัน ช่างเถอะ !! มันเป็นการยกตัวอย่างที่ไม่ค่อยถูกต้องมากนัก แต่ใช้ว่าทุกอย่างต้องมาลงเอยด้วยการลอกการบ้านใน    ตอนเช้า ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ใช้พวกที่มีวิสัยแบบนั้น
                  “ เห้ย !! ตาพี่เจี๋ยไหนบอกว่าเมื่อวาน ไม่มีการบ้านไงเล่า ไหงผมทำไมไม่ทำอยู่คนเดียวในห้องล่ะเนี่ย ห้า ! ” โป้ะ !! สันหนังสือเรียนหนาประมาณ 300 หน้าเศษ กระแทกใส่ศีรษะผู้พูดอย่างจัง
                    “ ใจเย็นน้องชาย วันนี้น่ะพี่ชายคนนี้ได้หาทางสว่างไว้ช่วยเหลือน้องรักของพี่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ”
                  “ จะ...จริงหรอครับ พี่หัวหน้าสุดหล้อจ้า ”
                  “ จริงสิจ้ะ แม่หนูน้อย เทอรี่-จัง ” 
                  “ สุดยอดเลย ในที่สุด ผมก็รอดจากเงื้อมมือของ อาจารย์ อาร์ซิลเลียนแล้ว อุตสาห์นั่งกลัดกลุ้มทั้งคืนในที่สุด พี่ชาย !! หัวหน้าที่ประเสริฐที่สุดใน 3 โลกอย่าง ชางอัน ซุนเหลียง ผู้นี้ ”
                  “ เจ้าชมเกินไปแล้วทาสผู้ซื่อสัตย์ของข้า ” เขาอายอยู่สักพักก็ยืดอกขึ้น
                    “ ถ้างั้น เอาการบ้านมาดูเลยดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลา นะๆ พี่หัวหน้าจ๋า ” เขาคุกเข่าวิงวอน
                  “ หา...? การบ้านหรอ...? อุ้ยตายแล้ว !! พี่เผลอส่งไปแล้วอ่ะสิน้องชาย ” เขาหันมาตอบพร้อมกับทำหน้ายียวนกวนประสาทใส่และแลบลิ้นแสดงอาการเย้ยหยัน
                  “ แกว่าไงน้า !! ” เทอรี่พูดเสร็จไม่ถึงนาทีเขาก็รับชักดาบยาวพอประมาณที่เหน็บอยู่ข้างเอว ชี้ไปที่ผู้ตอบอย่างไม่หลังเลใจ
                  “ โถ่ๆ แหม่น้องเทอรี่ก็ พี่ล้อเล่นน่า จริงๆ แล้วพี่แค่อยากจะแกล้งน้องเล่นเฉยๆ เอง เอาน่า !! สีสันยามเช้านะจ้ะ ” เขายิ้มให้ด้วยไมตรีที่แสนอ่อนหวานเต็มประด้วยมิตรภาพ 
                  “ นี่ !! อย่าว่ากันเลยนะพี่ แต่ว่า มีสีสันแบบนี้บ่อยๆ มันก็ไม่ดีนะ ” เทอรี่เก็บดาบเข้าตามเดิม
                  ปกติชีวิตประจำวันในโรงเรียนนี้ของผมนั้นก็ไม่ได้สนุกมากเท่าใดนัก ตอนนี้ผมได้เดินมาถึงห้อง 2 เป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วยอาการหอบเหนื่อย เพราะ ผมเป็นคนที่เดินหรือวิ่งมากไม่ค่อยได้มันจะเหนื่อยแปลกๆ อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของความสามารถของผมเองที่.... เดี่ยวค่อยว่าทีหลัง เอาเป็นว่าวันนี้เดินเข้ามาในห้องไม่ทันไร ก็เจอเหตุการณ์สมมติเมื่อครู่ทันที ซึ่งเป็นละครตลกสีสันประจำวันทุกเช้าของห้องนี้ 
                  สองคนนั้นเป็นเพื่อนร่วมชั้นของผม พี่คนหนึ่งที่ถูกเรียกเป็นฉายานามว่า “ หัวหน้า ” นั้นมีชื่อเล่นว่า เจี๋ย หรือ ประธานเจี๋ย ชื่อจริงของเขาคือ ชางอัน หยางเจี๋ย อายุ 17 ปี เท่ากับผมแต่เกิดก่อนผมประมาณ 4 เดือนผมจึงยอมเรียกเขาว่าพี่เพี่อความสนิทสนม แต่วันไหนที่พี่มันทำตัวน่าหมั่นไส้ ผมก็เรียกพี่เขาว่า ไอ้เจี๋ยเหมือนกัน พี่เขาผู้ที่มาสอบติดโรงเรียน Destiny ได้ในครั้งที่ 2 คนในห้องมักจะเรียกพี่เขาว่า “ เจี๋ย ” นั้นแหละ “ บอส ” คำนี้มันมาจากคำภาษาอังกฤษที่แปลตามปกติว่า หัวหน้า คนในห้องนำมาผสมปนเปกับชื่อเล่นจริงๆ ของเขา จนกลายเป็นเจี๋ยนั้นแหละ พี่เจี๋ยนั้นปกติพี่เขาเป็นคนที่มีภาวะความเป็นผู้นำที่สูงมาก งานในห้องส่วนใหญ่เขาจะเป็นตัวตั้งตัวตีในการปฏิบัติงานแต่ล่ะครั้ง พี่เขาเป็นบุคคลที่ชอบในคำเยินยอสรรเสริญเป็นอย่างมาก ถ้าใครชมพี่เขาหน่อยนะ พี่เขาจะบิดอายราวกับเด็กได้รับคำชมจากพ่อแม่ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ให้ความเคารพพี่เขามากเช่นเดียวกันกับหลายๆ คนในห้อง 2 นี้เลยล่ะ 
                  ส่วนอีกคนที่นั่งหงอเป็นตุ๊ดอยู่นั้น มีชื่อว่า เทอรี่ ชื่อจริงคือ เทอรี่ ท้อด หรือที่พวกเราชอบเรียกว่า ไอ้ตี๋ น้องหนุ่มคนเล็กอายุ 16 ปี ผู้ที่สอบติดโรงเรียน Destiny ได้ภายในครั้งแรกเช่นเดียวกับมิ้งและคานะ เขาเป็นผู้ชายแท้ๆ นี่แหละครับ แต่เขาก็เป็นคนที่รื่นเริงนิดหนึ่ง เริ่มแรกเดิมทีเขาก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกที่ผมพบเขาหรอก ในตอนนั้นเขาเป็นคนที่ค่อนข้างยิ่งทะนงในเรื่องของความสามารถ เพราะเขาเป็นคนที่เก่งกาจ และเก่งตามที่มันยิ่งจริงๆ แม้กระทั้งตอนสอบเข้ามาเขายังได้อยู่ในลำดับต้นๆ เขาเคยแสดงความสามารถของเขาครั้งหนึ่งท่ามกลางเพื่อนๆ ในห้องเป็นที่ตื่นตะลึงจนขนาดเราทั้งหมดในห้องต้องยอมเขา  เขาเลยคิดว่าคนทั้งห้องต้องยอมแพ้เขา แต่สุดท้ายมนก็โดนพี่ชินของผมสั่งสอนไปจนเขาก็ให้ความร่วมมือกับเราและปรับปรุงนิสัยของเขาเองเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ เขานั้นต่อให้เก่งขนาดสามารถไถ่เงินเพื่อนในห้องได้ง่ายๆ เขาก็ไม่ค่อยมายุ่งวุ่นวายกับคนขี้เกียจอย่างผมมากหนัก อาจจะเป็นเพราะว่าผมเป็นเพื่อนสนิทพี่ชินละมั้งนะ ถามว่า 2 คนนี้มีปมอะไรกันนะเหรอ ก็อย่างว่า พี่ชินเคยเอาชนะหมอนี้อย่างราบคาบมาก่อน แต่เห็นพี่เขาบอกกับผมเสมอๆ เวลาคุยถึงเรื่องนี้ตลอดว่า มันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องเสียหายอย่างไร กลับกลายเป็นผลประโยชน์ของทุกคนซะงั้น หมอนั้นกลายเป็นคนที่มีนิสัยหลังมือเป็นหน้ามือ เขามีนิสัยที่ดีขึ้นเรื่อยๆ จนทุกคนในห้องเลิกที่จะมีมานะทิฐิกับเขา และเพราะเรื่องนี้เองก็ส่งผลให้ตั้งแต่นั้นมา พี่ชินก็เลยกลายเป็นอันดับหนึ่งของห้องไปโดยบังเอิญ โดยมีไอ้เทอรี่คอยติดตามเป็นผู้ช่วยอยู่ข้างหลังเสมอๆ 
                  หลังจากเหตุการณ์สมมติเมื่อครู่จบลงและผ่านไปด้วยดี ผมตรงไปนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่างที่เดิมของผมอย่างสบายใจ น่าแปลกที่วันนี้ผมยังไม่เจอลูกเตะของแม่สองคนนั้น รู้สึกแม่สองสาวนั้นอาจจะมาสายเนื่องจากวันนี้รู้สึกสองคนนั้นมีนัดไปช่วยอาจารย์ที่ไหนไม่รู้ ทำอะไรสักอย่างนี้แหละ เขาบอกผมมาแล้วและผมก็ลืมไปแล้วเช่นกัน ไม่รู้ว่าจำวันผิดรึป่าวแต่จะว่าไปก็น่าตลกอยู่พอตัวนะที่คนนัด “ มิ้ง ” นั้นมาสายกว่าทั้งทีตัวเองย้ำนักย้ำหนาในโทรศัพท์เมื่อวานให้ผมรีบมาเช้า ช่างเถอะๆ ดีแล้วๆ สงบๆ แบบนี้ดีแล้ว ผมจะได้งีบหลับสักหน่อยพอเป็นพิธีก่อนเข้าคาบเรียนแรก
                  “ นี่ๆ น้องอนันต์คับ น้องทำการบ้านมารึยังอ่ะ ” พี่ชินสะกิดผมจากด้านหลังที่กำลังจะฟุ่บลงไป เมื่อได้ยินแบบนั้น ผมจึงต้องหันไปโต้ตอบกับเขา 

นับตั้งแต่ตรงนี้ ปู่ขี้เกียจแก้ย่อหน้าแล้ว Blogger เป็นเว็บที่เหี้ยมากๆ !!!!!

“ อะไรเนี่ย !! ถามผมแต่เช้าเลยนะพี่ ทำไมล่ะ !! จะขอลอกงั้นเหรอ ที่ 1 ตลอดกาลอย่างไลก้า ลีโอชิน ยังขอลอกการบ้านผมเหรอเนี่ย !! ” พี่เขานิ่งไปสักพักหลังจากผมพูดประชดไปอย่างแรงเมื่อครู่ ไม่นานหนักน้ำตาพี่เขาก็ไหลปริ่มๆ
“ แกพูดอะไรอย่างนั้นห้ะ !! แกก็รู้ !! พี่ขอลอกแกอยู่วิชาเดียว นั้นคือ... ”
“ เออผมล้อเล่นๆ เอาไปเถอะ วิชาโฮโลแกรมผมเสร็จนานแล้ว ”
“ แต้งกิ้วนะอนันต์ !! เอาเป็นว่าเดี่ยววันนี้ พี่พาไปเลี้ยงขนม ” พี่ชินพูดแล้วยิ้มด้วยอาการกวนๆ เหมือนอาแปะกำลังจะหลอกเด็กขายขนม
“ ตลกนะพี่ รีบๆ ลอกไปเลย เดี่ยวหมดโปรโมชั่น ” ผมชี้ไปที่การบ้านที่พี่เขากำลังจะลอกด้วยอาการโมโหเล็กน้อย
“ ล้อเล่นน่าไอ้น้องรัก งั้นเดี่ยวเย็นนี้พี่พาไปเลี้ยงข้าวก็แล้วกัน ตรงตลาดใหญ่ข้างๆ โรงเรียนเนี่ย ไปกันไหม ? ” พี่ชินขอโทษก่อนที่จะออกอาการชวนผม โดยยื่นมือทั้งสองข้างมาแตะไหลของผม
“ เห้ย !! ตรงนั้นอีกแล้วหรอพี่ ? ” ผมเกิดอาการสดุ้ง ตกใจเล็กน้อย
“ เออ !! แถวนั้นเส้นพี่มีเยอะ นักรบพลัง Will อย่างพี่ ช่วยคนแถวนั้นบ่อยไม่มีปัญหา กินฟรียังได้เลย ” 
“ พี่กินฟรี แต่ผมจ่าย ใช้ไหมล่ะ ? รีบๆ ลอกเลยนะเดี่ยวจะเอาคืนแล้ว ผมหมั่นไส้สุภาพบุรุษ ” พี่ชินพูดยังไม่ทันจะจบผมก็รีบตอบสวนไปทันที โดยชักสีหน้าที่จงใจจะบอกให้พี่เขารู้ว่า ตอนนี้กำลังผมหัวเสียจากคำพูดของพี่เขาอยู่
“ โอเคๆ รีบทำงานดีกว่าเนอะ จะได้ทำอย่างอื่นที่เป็นแก่นสารของชีวิต ” 
“ พึ่งรู้เหรอพี่ !! ” พี่ชินแอบหัวเราะนิดเมื่อได้ยิน พอพูดจบผมก็ไม่ได้สวนอะไรกลับไป พี่เขาก็นั่งลอกการบ้านของผมต่อไปอย่างเงียบ ส่วนผมก็นั่งชมนกชมกานอกหน้าต่างและในห้องไป
“ พี่ชินจัง วันนี้เรากลับบ้านด้วยกันอีกได้ไหม พอดีว่าวันนี้หนูลืมเอากระเป๋าเงินมานะสิ กะไว้ว่าจะขอยืมเงินไปซื้อขนมที่พี่ชายเขาฝากไว้ด้วยอ่ะ ยังไงเดี่ยวหนูคืนให้แน่ สัญญาๆ แหะๆ ” 
เสียงแหลมๆ อันนี้เป็นของอาริน หรือชื่อจริงๆ ของเธอคือ อาริน อาชิตะ อายุ 15 ปี สาวแว่นจอมเปิ่นประจำห้อง ผู้ที่เก่งพอๆ กับคานะแต่คนละด้านกัน อารินเก่งในเรื่องของการประดิษฐ์มากๆ จนได้โควตาคะแนนพิเศษตอนสอบเข้า ส่วนคานะเขาเก่งเรื่องการใช้กำลัง อารินเป็นคนที่นิสัยดี น่ารักสดใสในแบบของเด็กๆ จนบางดูอ่อนแอและซุ่มซ่าม เธอเป็นน้องเล็กที่ใครในห้องต่างก็ห่วงใย เพราะ เธอจิตใจไม่ได้เข้มแข็งหรือร่างกายไม่ได้แข็งแกร่งพอๆ กับยัยถึกคานาลิน น้องอารินคนที่จึงเป็นเสมือนกำลังใจเล็กๆ สำหรับพวกเราเวลาโดนอาจารย์อาร์ซิลเลียนด่าในห้อง
“ อ้าวทำไมเป็นยังงั้นล่ะ คุณป้าอาริน โธ่เอ๋ย !! เธอเนี่ยนะทำไมไม่รู้จักตรวจข้าวของก่อนจากบ้านบ้าง ดีนะที่ลืมแค่กระเป๋าเงินไว้ที่บ้าน นี่ถ้าเกิดลืมใส่เสื้อผ้ามาโรงเรียนจะทำยังไงห้า !! ” พี่ชินวางปากกาลงแล้วพูดขึ้นเสียงสูง
“ ถ้างั้นก็แย่นะสิ มีหวังคนแถวนั้นหาว่าหนูเป็นคนบ้าแน่ๆ เลย ” 
“ ฉันประชด แม่คุณ !! ” และแล้วในที่สุดสองคนนี้ก็ยืนโต้วาทีเสียงดังอยู่ข้างหลังผมต่อไป ผมเคยได้ยินมาว่าสองคนนี้เป็นเพื่อนในตอนสมัยเป็นเด็กด้วยกัน ดูเหมือนมิ้งจะเคยกระซิบกระซาบให้ฟังว่า น้องอารินคนนี้นั้นแอบมีความรู้สึกห่วงใยให้กับพี่ชินอยู่เสมอ ราวกับว่า เธอกำลังแอบชอบเจ้าพี่ชายคนนี้อยู่ แต่มันเป็นเรื่องที่ผมไม่อาจจะเชื่อได้อยู่ดี เพราะ เหตุผลอย่างหนึ่งก็คือ...
ตูม !! เสียงระเบิดดังมาจากข้างหลังของผม “ พี่ชินจังนะบ้าที่สุด แค่นี้ไม่เห็นต้องโกรธกันเลยนี่น่า ใจเย็นหน่อยสิ พี่อ่ะเป็นอย่างงี้ตลอดเลย บ้าที่สุด ” หุ่นยุ่นตัวจิ๋วพลังทำลายล้างสูงที่แม่น้องแว่นอารินประดิษฐ์ขึ้นมากำลังตะบี้ตะบันฟัดเวี่ยงอยู่กับเจ้าชินอย่างเมามันโดยพี่เขาทำอะไรไม่ได้ ถ้าขืนโต้ตอบเมื่อไหรพี่แกอ่วมแน่ๆ บางครั้งผมที่เป็นเพื่อนสนิทของพี่เขาก็อยากไปห้ามน้องอารินคนนี้บ้างว่า น่าจะเบามือหน่อย แต่ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะนี้คือ เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำหลังจากการสนทนาระหว่าง 2 คนนี้ 
สมาชิกในห้องของผมนั้นเริ่มมากันค่อนข้างเยอะแล้ว เวลาเริ่มเรียนชั่วโมงแรกของแต่ละห้องไม่ตรงกัน เนื่องจากบทเรียนของแต่ละห้องที่เรียนไม่เหมือนกัน ทำให้บางคนขี้เกียจมาเร็วมากนักก็เลยชอบตื่นสายกันบ่อยๆ สำหรับชั่วโมงแรกในวันนี้ของห้องผมเริ่มเรียนประมาณ 8 โมงครึ่ง เป็นของอาจารย์อาร์ซิลเลียนซึ่งครั้งที่แล้วอาจารย์นั้นสั่งงานเอาไว้ 200 หน้าทำให้หลายคนมาเช้าเพื่อทำการบ้านนี้แหละจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่วางมือกันแม้แต่วินาทีเดียวเลย การบ้านของผมนั้นเสร็จแล้วเนื่องจากขอลอกพี่ชินเขามาส่วนหนึ่ง การบ้านส่วนใหญ่มีเนื้อหาเกี่ยวกับพื้นฐานทักษะการต่อสู้ประชิดตัว ในที่นี้เราเรียกกันว่า “ วิล (Will) ” ซึ่งเป็นเรื่องที่พี่ชินเขาถนัดมาก ทำไม่ถึง 5 นาทีก็เสร็จ จริงๆ แล้วผมก็สามารถทำเองได้ แต่พอดีผมไม่ค่อยชอบเท่าไหรเลยไม่ทำ การบ้านที่ผมทำมักจะเป็นวิชาที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับโฮโลแกรมเป็นส่วนใหญ่ และนี้ก็เป็นเรื่องที่พี่ชินเขาไม่ถนัดเอาเสียเลย ทำให้เราสองคนกลายเป็นหุ้นส่วนทางด้านการบ้านผลัดกันลอกเสมอๆ 
ไม่นานนักขณะที่ผมกำลังนั่งรอธุระของผมที่ยังไม่มาสักทีและปล่อยให้น้องอารินเขาจัดการกับพี่ชินเขาต่อไปนั้น เสียงฝีเท้าของคนคนหนึ่งที่ดังมาจากข้างนอกวิ่งตรงมาที่ห้องอย่างเร่งรีบ เลื่อนเปิดประตูห้องอย่างรุนแรง ทุกคนในห้องหยุดชะงักการทำงานทุกอย่าง พร้อมมองตรงไปผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเกิดอาการหอบด้วยความเหนื่อยยืนก้มหน้าอออยู่ที่ประตูและกำลังจะพูดบางอย่างออกมา
“ แหกๆ นี่ๆ หนูไม่ได้มาสายใช้ไหมค่ะ อาจารย์อาร์ซิลเลียน ” สีหน้าที่ซีดเซียวแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“ นี่ๆ อยากบอกนะว่า ไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุกอีกแล้วใช้ไหม เจ๊ชาร์ ” พี่หัวหน้าเจี๋ยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่คล้ายอาจารย์ แต่ในแบบที่ดัดนิดดัดหน่อย
“ อ้าวตาพี่เจี๋ยทำไมไม่นั่งที่ล่ะ แล้วทุกคนทำไม.... ” ชาร์เดินเข้ามาในห้อง เมื่อตนสำรวจโดยดีแล้วนั้น เธอจึงทำหน้าที่มึนงงอย่างสุดๆ เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นในห้อง
“ นี่ !! ตอนนี้เวลา 8 โมง 15 นาทีเอง ยังไม่เข้าเรียนเลย ทีหลังก่อนจะเข้าห้อง ถ้าเจ๊คิดว่าเจ๊จะมาสายก็หัดเปิดประตูเบาๆ แล้วก็ดูก่อนว่าคนในห้องกำลังทำอยู่ ”
“ เอ้า 8 โมง 15 เองหรอ แหม่ๆ งั้นก็แย่นะสิ ทีหลังตั้งนาฬิกาปลุกก่อนดีกว่าเนอะ ” เธอทำท่าเกาหัวและศีรษะเหมือนตัวละครน่ารักในการ์ตูน
“ รู้ไหมเจ๊ชาร์ เจ๊พูดคำนี้มาประมาณ 100 รอบแล้วนะ ” พี่เจี๋ยยืนเท้าเอว 
“ ช่างเถอะๆ เอาการบ้านมาลอกหน่อยจิพี่ !! ”
“ ได้ๆ เห้ยเทอรี่ เอาการบ้านไปให้เจ๊ชาร์เขาลอกหน่อยสิ ” พี่เจี๋ยรีบหันไปทางเทอรี่ซึ่งอยู่ข้างหลัง กำลังนั่งลอกการบ้านอย่างเชื่องช้า เทอรี่เมื่อได้ยินคำของพี่เจี๋ย ก็หันไปมองหน้าพี่เจี๋ยสักพักและก็พูดบางอย่าง
“ เอ้า !! เขายังทำไม่เสร็จเลยอ่ะ ” 
“ แล้วคุณชายนั่งทำอะไรอยู่ล่ะ ทำไมงานการไม่เสร็จสักที ” พี่เขาตะโกนถาม
“ ก็ดูสี้ !!! ลายมือแบบนี้ใครมันจะอ่านออก ต่อให้พระเจ้ามาอ่าน ยังต้องเปิดพจนานุกรมเลย ” เขาชี้ไปที่ลายมือสุดวิเศษของพี่เจี๋ยบนการบ้าน พี่เขาเห็นดังนั้นก็เหงือตกพร้อมพูดแก้ตัวว่า
“ อุ้ย !! โถ่ไอ้น้องรัก นี่มันออกจะศิลปะ ” เขาทำท่าเขิญอายอีกแล้ว
“ ไม่เป็นไรๆ เทอรี่เดี่ยวแกรอลอกต่อจากฉันก็ได้ เดี่ยวฉันจะถอดรหัสการบ้านของตาพี่เจี๋ยให้ ” ชาร์เห็นสถานการณ์ดังนั้นแล้วจึงรีบเข้าไปพร้อมแสดงอาการไม่เป็นไร 
เธอคนที่มีท่าทางรีบร้อนและมีไฟในการทำงาน เป็นคนที่ร่าเริงอยู่ตลอดเวลานี่มีชื่อว่า ชาร์ลีน่า อัลเบริค หรือ เจ๊ชาร์ อายุ 17 ปี เธอเคยมาสอบที่โรงเรียน Destiny มาแล้วครั้งหนึ่งแต่สอบไม่ติด มาติดเอารอบที่ 2 ตามปกติแล้วชาร์เป็นคนที่เก่งหลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเรียนหรือการทำงานนอกเวลาเรียนของเธอ ชาร์นั้นเป็นเพื่อนคนหนึ่งของพวกเราที่ค่อนข้างมีอิสระ เป็นคนที่นิสัยดี อัธยาศัยเป็นเลิศ มีน้ำใจกับเพื่อนสุดๆ พอๆ กับมิ้งเลย ทุ่มเททุกอย่างให้เพื่อนได้โดยไม่ลังเลใจแม้แต่นิดเดียว เธอจึงเป็นที่รักของทุกคนในห้อง ว่ากันว่าถึงแม้ครอบครัวเธอจะเป็นครอบครัวที่ทำธุรกิจร่ำรวยมหาศาลในทางตอนตะวันออกจนเป็นที่ร่ำลือ แต่เธอกลับเป็นคนที่ชอบทำงานเป็นพนักงานตามร้านอาหารบ้าง เป็นบรรณารักษ์ที่หอสมุดใหญ่ตรงข้ามโรงเรียนเราบ้าง ทำงานรายได้เสริมต่างหนักมากๆ จนถึงขนาดที่เธอมาโรงเรียนแบบรั่วๆ ตอนเช้าแบบนี้ทุกวัน จนเธอกลายเป็นหนึ่งในหลายๆ คนที่น่าเป็นห่วงพอตัวในห้องของเรา 
“ เห้อ !! จริงๆ เลย อะไรของพวกนั้นล่ะนั้น เล่นกันแต่เช้าเลย พี่ว่าไหมล่ะพี่ชิน ? ” ผมถอนหายใจพร้อมกับพูดคุยกับพี่ชินซึ่งนั่งอยู่ข้างหลัง ผมนั่งรอสักพักหนึ่งเห็นว่าพี่เขาไม่ตอบกลับมาผมจึงพูดต่อไปว่า
“ นี่ !! พี่จะเงียบทำไมล่ะ แสดงความคิดเห็นหน่อยซิ ยิ่งรึไง หรือว่าไม่อยากคุยกับผม ? ” พี่เขายังไม่ตอบผมกลับมาเช่นเดิม ผมเลยต้องหันไปมองพี่เขาข้างหลัง ในที่สุดก็พบกับความจริง
“ อ้าวเห้ยพี่ !! เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ทำไมเป็นสภาพแบบนั้น ? ” ร่างของพี่ชินตัวดำเมี่ยมนอนกองอยู่กับพื้น เมื่อเห็นดังนั้นผมจึงรีบวิ่งไปผยุงร่างของพี่เขาทันที
“ พี่ดีใจนะ ที่มีเพื่อนรุ่นน้องที่แสนดีอย่างนายนะ อนันต์ ” พี่ชินยื่นมือของเขามาจับที่มือของผม
“ พี่รู้แล้วว่าวันนี้น้องอนันต์เป็นห่วงพี่มากแค่ไหน ” พี่ชินพูดต่อพร้อมกับมีน้ำตาแห่งความปลื้มปิติไหลออกมา
“ พี่ไม่นะ !! อย่าพูดเป็นลางไม่ดีแบบนั้นสิ ” ให้กำลังใจพี่เขาหน่อยก่อนที่จะบ้าไปก่อน
  “ น้องอนันต์ ไว้พบกันอีกครั้งที่ทางช้างเผือกนะ ลาก่อน ” โอเค ที่นี้รู้เหตุผลแล้วว่าทำไมเมื่อวันก่อนพี่เขาไม่ได้ทำการบ้านมา มันหาเวลาไปดูละครตอนไหนว่ะ  
เมื่อพี่ชินพูดจาล่ำลาเป็นที่เรียบร้อยเสร็จแล้ว พี่เขาก็นอนสลบแน่นิ่งไป ผมที่ผยุงร่างของพี่เขาอยู่ หลังจากได้ยินสิ่งไร้สาระที่เขาพูดเสร็จ ผมก็ทิ้งร่างของพี่เขาโดยไม่ได้สนใจอะไร ผมยืนขึ้นด้วยความรวดเร็ว ไม่รอช้าผมจึงหันหน้าไปทางน้องอารินซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เริ่มเหตุการณ์มา ดูเหมือนว่าพี่แกกำลังขบคิดอะไรบางอย่างนานสองนานเลยทีเดียว ซึ่งถ้าผมเดาไม่ผิดสิ่งที่พี่แกกำลังคิดก็คงเป็นอะไรที่ไม่น่ากล่าวถึงเกี่ยวกับผู้ชาย 2 คน และดูเหมือนกำลังจะเตรียมไปเล่าให้เพื่อนสนิทของเธอฟัง จะเป็นใครซะอีกนอกจาก คุณหญิงมิ้ง กับ แม่เถื่อนคานะ
“ ขออนุญาตครับ คุณน้องอาซิตะ ” ผมถามด้วยอาการสุภาพ มารยาทเรียบร้อย
“ อ่ะๆ มะ...มีอะไรค่ะ คะ...คุณพี่เรนดร้อป ” อาการตกใจของเธอเมื่อผมถามคำถามไปออกมาเห็นได้ซัด แสดงว่าสิ่งที่เธอคิดไว้น่าจะไปได้ไกลเชียว 
“ บอกตามตรงนะคุณน้อง บางครั้งน้องก็น่าจะวางมือจากหมอนี่บ้างนะ พี่อยากจะบอกเรื่องเหล่านี้กับน้องมานานมากแล้ว แต่แล้วมันก็ไม่ทันกาล ในที่สุดวันนี้พี่ชินเขาก็ได้ไปทางช้างเผือกอย่างที่มันต้องการสักที ” 
“ แหะๆ พอดีหนูอยากให้พี่ชินจังเขาไปที่ดวงจันทร์มากกว่าอ่ะนะ เพราะว่าที่โน้นมีกระต่ายเยอะค่ะ ” น้องอารินเขาทำหน้าระรื่น มีเหงื่อออกเล็กน้อยที่ใบหน้าคล้ายกับอาการอาย หลังจากพูดประโยคเมื่อสักครู่จบไป
“ พอดีบางครั้งพี่ก็ไม่ค่อยจะมีอารมณ์ขันมากขนาดนั้นหรอกนะ คุณน้อง ” ผมทำสีหน้าที่ตายด้านใส่น้องอาริน ตัวเธอเองนั้นก็ยืนอ้ำอึ้งอยู่พักหนึ่งจนตอบกลับมา
“ ปกติ พี่ชินจังเขาก็เป็นแบบนี้บ่อยๆ เขาไม่เคยบ่นให้หนูได้ยินเลยนะค่ะ ” 
“ หมอนั้นอาจจะเก็บกดก็ได้ ” ผมตอบกลับไปอย่างรวดเร็วแล้วภาวนาว่าอย่าให้เกิดอะไรขึ้นแบบเดียวกับที่พี่มันเจอวันนี้เลย และหลังจากที่ผมสนทนากับน้องอารินเขาเสร็จก็กลับไปที่นั่งของผมริมหน้าต่าง
“ อย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นเล้ย !! ขอนั่งอยู่เงียบๆ เถ้อะ ” ผมภาวนาในใจขณะที่กำลังจะย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้
“ ตาบ้าอนันต์ !! ” น่านมากันแล้ว
“ วันนี้คือ วันตายของนาย !!! ” เสียงตะโกนที่แหลมนิดๆ คล้ายผู้ใหญ่ โหดเหี้ยมและดุดันดังมาจากข้างหลังผม ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใครแต่ว่าสัมผัสที่ 6 กำลังบอกอันตราย ผมนั้นตกใจเด้งจากเก้าอี้อย่างรวดเร็วทันที
“ ขะ...ขอโทษครับ คือ...ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะครับ ” ผมรีบกล่าวขอโทษดักหน้าไว้ ก่อนที่จะค่อยๆ หันไปข้างหลังอย่างช้าๆ เพื่อดูว่าใครคือเจ้าของเสียง
“ โว้วๆ อะไรกันเนี่ย !! ” น่าน !! ในที่สุดธุระของผมก็มาจนได้ หลังจากรออยู่เป็นเวลานาน เชื่อหรือไม่ว่าทันทีที่ผมหันไปนั้น ก็ต้องอุทานมาเป็นคำพูดเมื่อครู่ เนื่องจากสิ่งที่ผมเห็นจากข้างหลังคือ ดาบเรียวยาวขนาดพอประมาณมีประกายไฟติดอยู่ที่ดาบเล็กน้อยกำลังชี้ตรงมาที่ผมโดยผู้ที่ถืออยู่นั้นคือ คานะ ซึ่งเป็นเจ้าของเสียงข้างต้นที่กำลังฉุนเพราะเรื่องอะไรไม่ทราบ กับ ปืนขนาดลำกระบอกใหญ่ที่ถ้าเล่งถูกนัดเดียวได้นอนโรงพยาบาลยาวของมิ้งที่สายตาของเธอตอนนี้ดำมืดสนิทกำลังเล่งมาที่ผม ยืนอยู่ตรงประตูหลังห้อง 
“ นี่เรื่องอะไรกันเนี่ย ระ...เราค่อยมาคุยแบบเปิดอกกันก่อนดีไหม ” 
“ เราไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกแล้วล่ะค่ะ ไม่มีคำแก้ตัวสำหรับคนอย่างพี่ค่ะ พี่อนันต์ !! ” เสียงที่เย็นชาออกมาจากปากของมิ้ง พูดไม่ทันจบเธอก็นำนิ้วไปสอดที่ไกปืนพร้อมที่จะยิง
“ ฉันมาเป็นเพื่อนพี่มิ้งนะ หมั่นไส้นาย ฉันก็เลยอยากจะสับนายเป็นชิ้นๆ สักหน่อย ” คำพูดที่ไม่ตรงกับกิริยาของเธอที่กำลังทำอยู่ตอนนี้นั้นเห็นได้ชัดเจนมากๆ 
“ เธอกำลังพูดโกหกอยู่นะ คานะ ” ผมโต้ตอบไปโดยไม่ได้คิดเลยแม้แต่นิดเดียวว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น
“ คะ...ใครโกหกกันตาบ้า ดีล่ะ !! พี่มิ้งหนูว่าเรามาพิพากษาตาบ้านี่เลยดีกว่า ”
“ เห็นด้วยเลยค่ะ ” 
  ผมได้ยินเสร็จก็ถึงกลับต้องกลืนน้ำลายเลยทีเดียวเพราะตอนนี้ผมกำลังจะได้รับประสบการณ์เหมือนพี่ชินเสียแล้ว “ กล้วยทอด ” ผมอุทานแบบเบาๆ ไม่ให้ใครได้ยิน คิดยังไม่ทันเสร็จ มาแล้วครับสองคนนี้พุ่งหล่าวมายังกับนักกีฬาทีมชาติอะไรประมาณนั้น ทางด้านของยัยคานะเข้ามาก่อนโดยเอาดาบที่เปลวเพลิงติดอยู่เป็นประกายของเธอตวัดมาข้างหน้า ผมใช้ความคล่องตัวเล็กน้อยหลบไปข้างหลังได้ แต่ยังไม่ทันได้วางใจ มิ้งก็ใช้ปืนที่ถืออยู่ในตอนแรกยิงเข้ามาเต็มๆ แต่กระสุนยังไม่ทันมาถึงผมก็รีบหยิบดาบที่ยังไม่ชักออกจากฝักยาวพอประมาณของผมที่วางอยู่ข้างโต๊ะของผมมาปัดออกไปได้ ซึ่งการโจมตีสองครั้งเล่นอีกผมซีดเลยทีเดียว เหนื่อยมากจริงๆ แต่การโจมตีทั้งสองครั้งนั้นไม่ได้ทำให้สภาพของห้องเรียนนั้นเสียหายแต่อย่างใด แต่กลับให้คนทั้งห้องกำลังมุงดูว่าเกิดอะไรขึ้นอยู่
“ นี่พวกเธอมีอะไรรึป่าว ทำไมถึงมีอารมณ์ไอน้ำแต่เช้าเลยล่ะจ้ะ หรือว่าจะเป็นเรื่องของธุระเมื่อวาน ” ผมถามด้วยอาการกลัวโดยโค้งตัวไปข้างหลังเล็กน้อย พร้อมที่จะวิ่งลงหน้าต่างตลอดเวลา
“ ฉันได้ยินมาว่าเมื่อวานคุณพี่อนันต์กับคุณพี่ชินไปทำกิริยาไม่ดีกับผู้หญิงคนอื่นที่อยู่ต่างโรงเรียนสินะค่ะ ฉันซึ่งมีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบคุณพี่อยู่แล้ว บทลงโทษก็ต้องเป็นแบบนี้ล่ะค่ะ ” มิ้งพูดด้วยคำที่หนักแน่นแสดงความโกรธพร้อมกับลดปืนลงเล็กน้อย ผมเองตอนนี้เตรียมกระโดดหนีออกนอกหน้าต่างแล้ว
“ เดี่ยวก่อนๆ พี่ว่าพี่ไม่ได้ทำอะไรเมื่อวานเลยนะ เรื่องที่กลับบ้านกับพี่ชินนั้น ใช้ !! เรื่องจริงเลยล่ะ แต่ว่า....” ผมที่ยังไม่ทันพูดจบ ยัยคานะก็พูดขัดจังหวะขึ้นมาทันที
“ ยะ...อย่าแก้ตัวเลยดีกว่า นายนะโกหกเก่งมาแต่ไหนแต่ไรแล้วตาบ้า พี่มิ้งอย่าไปเชื่อหมอนี้เชียวนะ ต่อให้อมพระร้อยองค์มาพูดชั้นก็ไม่เชื่อ นายนะกะล่อนปลิ้นปล่อนที่สุดในสามโลกเลยล่ะ ” 
“ ใจเย็นกันก่อนนะ มีเรื่องเข้าใจผิดแน่นอนนะ เชื่อพี่บ้างเถอะนะ ” 
“ จะให้เชื่อได้ยังไงล่ะค่ะ ก็เมื่อวานทั้งอารินจัง คานะจัง และฉันเองยังเห็นอยู่....อุ้บ !! แย่ล่ะสิเผลอพูดออกไปได้ (กระสิบกับตัวเองเบาๆ) ก็ที่พูดมาฉัน... อารินจังเมื่อวานเราไปเดินกับบ้านด้วยกันเนอะ ไม่ได้เห็นพวกคุณพี่อนันต์เลยเนอะ ” เหงื่อของมิ้งไหลออกมาอย่างหนัก ตัวสั้นเหมือนกำลังจะหลุดความจริงออกมา 
“ พี่มิ้ง !! เมื่อกี้พี่ก็เผลอหลุดออกไปนะ หนะ...หนูก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลยเช่นกันนะ คะ...คานะจังช่วยด้วยสิจ้ะ อุตสาห์อยู่ด้วยกันนะ ” อารินพยายามแก้ตัวอย่างรวดเร็วเหมือนกำลังพยายามเอาไฟดับน้ำอยู่เลย
“ อะ..เอ่อ คือว่า ฉันเอง...ฉันไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย...ทำไมล่ะตาบ้าอนันต์ เรื่องของนายใครอยากจะรู้ล่ะ ” เธอพูดไม่ตรงกับใจเช่นเดิม และด้วยเหตุนี้ทำให้ผมได้รู้ว่าเมื่อวานสามคนนี้ทำอะไรหลังจากเลิกเรียน และรู้ด้วยว่าทำไมวันนี้ตอนเช้าพี่ชินถึงได้โดนอัดซะตัวดำเมี่ยมนอนสลบอยู่ตรงโต๊ะของพี่เขา
“ แต่ก็อย่างว่านั้นแหละค่ะ !! มีอะไรรึป่าวล่ะค่ะ ทำอะไรลับๆ ล่อๆ น่าสงสัย คนอื่นมาเห็นมันดูไม่ดีนะค่ะ ” มิ้งที่ตอนแรกยังเขิญอายไม่กล้าพูด กลับตะโกนถามด้วยเสียงที่แหลมแสบเข้าไปในแก้วหู
“ บอกมาเดี่ยวนี่นะตาบ้า ก่อนที่ฉันจะเอาดาบเล่มนี่ไปเผานายให้เป็นจุลอีกรอบหนึ่ง ” คานะหยิบดาบของเธอที่ลุกเป็นประกายไฟเล็กๆ ขึ้นมาอีกครั้ง
“ อะ...เอ่อ คือว่าหนูว่าพี่ทั้งสองคนใจเย็นก่อนดีกว่านะ การที่เราใจร้อนทำอะไรสักอย่างโดยไม่คิดก่อนมีแต่จะนำผลเสียมาสู่ตัวเรานะ คานะจัง พี่มิ้ง ” อารินเตือนเพื่อนรุ่นพี่ของเธอด้วยอาการสั่นๆ เล็กน้อย 
“ แล้วที่นอนเป็นเฉาก๋วยอยู่ข้างๆ โต๊ะของพี่คืออะไรล่ะครับ คุณน้องอาชิตะ ” ผมชี้ไปที่ร่างของพี่ชิน
“ ปะ...ป่าวสักหน่อยค่ะคุณพี่เรนดร้อป ที่คุณพี่เรนดร้อปเห็นมันเป็นภาพลวงตาค่ะ จะ..จริงๆ นะค่ะ ” เธอแก้ตัวอย่างหนัก
“ คือว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้นะทั้งสามคน ฟังพี่ก่อนนะ ใจโล้งๆ ใจเย็นๆ ” ผมเดินไปนั่งที่โต๊ะของผมด้วยอาการเกรงกลัวเล็กน้อย ผมเก็บดาบที่ยังไม่ทันได้ชักออกฝักของดาบของผมลงใต้โต๊ะ
ทั้งสามคนเก็บอาวุธคนตัวเองแล้วลากเก้าอี้ที่อยู่แถวนั้นมานั่งล้อมรอบผมเหมือนกับนักเลงที่กำลังจะไถ่เงิน ผมได้แต่นั่งเกร็งอยู่กับที่ ตัวสั้นหยิกๆ ราวกับกำลังจะโดนประหารอะไรสักอย่าง ผมเหลือบมองไปที่พี่ชินที่นอนแอ่งแม่งโดยฝีมือของแม่หนูอาริน คอยแต่ภาวนาว่าจะไม่เกิดอะไรขึ้น
 “ ว่าไงล่ะพี่ !! ” ทั้งสามคนตะโกนออกมาพร้อมกันทำเอาผมสะดุ้งไปไม่ถูกทางเลยทีเดียว 
“ แหม่ !! ก็ไม่มีอะไรมากหรอกนะทั้งสามคน พี่กับพี่ชินก็แค่... ” 
“ ยังไงค่ะ ทำไมพูดช้าแบบนี้ล่ะค่ะ ” มิ้งทุบโต๊ะ ทำเอาผมใจล่นไปกองกับพื้นเลย “ อ้อ !! กำลังหาข้อแก้ตัวละซิ ” 
“ เร็วๆ ซิตาบ้า ถ้าไม่รีบพูดให้จบพี่ได้เป็นอาหารเย็นของสัตว์เลี้ยงหน้าบ้านฉันแน่ !! ” คานะหยิบดาบของเธอที่วางอยู่ข้างๆ ชี้ที่ผม ขณะที่มิ้งนั้นก็ไม่ได้ห้ามอะไร กลับส่งสายตาให้กับคานะราวกับว่า “ เอาเลย !! ฆ่าให้ตาย ไม่ต้องเหลือไว้ก็ได้ ” ประมาณนี้ คานะเห็นดังนั้นก็พยักหน้าตามด้วยซะงั้น
“ ไม่นะพี่ชินจัง ” อารินเริ่มออกอาการเหมือนกำลังจะร้องไห้ น้ำตาเริ่มไหลออกมาเล็กน้อยแล้ว
“ คือว่าน้องๆ ทุกคน พอดีว่าเมื่อวันก่อนพี่กับพี่ชินก็เดินกลับบ้านตามปกตินี้แหละ แล้วผู้หญิงที่น้องทั้งสามเห็นนั้นน่ะ เขาแค่มาถามทางเฉยๆ ไม่มีอะไรหรอก มีแต่พี่ชินคนเดียวนั้นแหละที่เข้าไปจีบเขานะ ” ผมรีบแก้ตัวอย่างกะทันหัน
“ อ้าวน้องอนันต์ !! ทำไมทำยังนี้อ่ะ อุตสาห์จะนอนเนียนสักหน่อย อย่าโยนกันแบบนี้สิ ” จากร่างที่นิ่งเหมือนศพเมื่อครู่ก็ลุกขึ้นมาพูดอีกครั้งด้วยอาการร้อนรนสุดขีด ผู้หญิงทั้งสามคนเมื่อได้เห็นจึงจ้องเขม่นไปที่พี่ชิน 
“ มีแต่น้องอนันต์นั้นแหละที่บอกว่า น่ารักดีนะ แหม่ถ้าได้เป็นแฟนโชคดีตายเลย แบบนี้อ่ะ ” 
“ เห้ย !! เวรเอ๋ย ” ซวยแล้วล่ะครับ ตอนนี้เจ้าโยนความผิดมาที่ผมเรียบร้อยแล้ว ความตายกำลังจะมาเยือนพวกผมทั้งสองคน
“ งั้นหรอ หวังว่าพี่ไลก้าบ้านั้นคงไม่ได้โกหกหรอกนะ ” คานะพูดเสร็จพร้อมกับยิ้มแบบหนังสยองขวัญ
“ มันโกหก ยะ...อย่าไปเชื่อเจ้าพี่ชินเลย พี่มันพยายามโยนความผิดให้ผมนะ น้องมิ้งช่วยพี่ทีสิ ” ผมเข้าไปกอดที่ขาของมิ้ง พยายามขอให้เธอเชื่อในสิ่งที่ผมพูด แต่แล้วเธอมองหน้าผมด้วยสายตาที่ดำมืด หลังจากนั้นจึงหันไปมองที่พี่ชิน 
“ จริงรึป่าวค่ะ พี่ไลก้า ” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาไร้ความอ่อนหวานที่เธอเคยมีอยู่เมื่อตอนที่แรกพบเจอ
“ จริงสิๆ ที่น้องอนันต์พูดน่ะโกหก ที่พี่พูดน่ะความจริง ” พี่น้องรักอย่างผมทั้งสองคนตอนนี้ได้ฆ่ากันเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มิ้งนั้นดูเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไร เธอจึงหันไปคุยกับอารินซึ่งกำลังยืนอ่ำๆ อึ่งๆ อยู่ว่าอยากจะทำอะไร
“ น้องอาริน ไม่ต้องรอแล้วจ้ะ จัดการตามที่น้องอยากจะทำเลย ฉันไม่ว่าหรอกจ้ะ ”
“ จะ..จริงหรอค่ะ ดีล่ะ !! พี่ชินวันนี้พี่ต้องชดใช้ในสิ่งที่พี่ทำ รับรองสบายๆ แน่นอนค่ะ ” อารินพูดแล้วยิ้มสดใสด้วยอาการร่าเริงยินดีอะไรสักอย่างตรงข้ามกับความรู้สึกของพี่ชินตอนนี้ 
“ โอ้ย !! ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหลแล้... เอือก !! ตาย ” เขาแกล้งตายอีกครั้งหนึ่ง
“ ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะพี่ชิน เดี่ยวพี่ชินคงต้องนอนรอแบบนั้นไปสักพักหน่อยล่ะนะค่ะ เพราะว่า เดี่ยวรอหุ่นมันชาร์ตพลังให้เต็มก่อน จะได้ปล่อยทีเดียวให้ไปดาวอังคารเลย ” เธอไปปรับแต่งหุ่นตัวเล็กที่เธอใช้จัดการไปเมื่อสักครู่ นำมาวางใกล้พี่ชินอีกครั้ง
“ โครตอลังการงานสร้างจริงๆ เลยอารินจ๋า สมแล้วที่เธอเป็นคนเก่งที่ฉันนับถือ ” เขาลุกขึ้นมาพูดอีกแล้ว
“ เอาจริงๆ ค่ะไม่ต้องมาพูดเล่น ในตอนนี้หนูมีบทเต็มที่ค่ะ พี่ชิน !! ” 
“ พี่ชินเนี่ยไม่น่าทำแบบนี้เลยนะ นิสัยไม่ดีๆ ว่าแต่วันนี้อากาศดีจังเลยเนอะ ” ผมซึ่งเห็นสภาพของพี่ชินแล้วดังนั้น ก็เดินออกไปห่างๆ ด้วยความแนบเนียน 
“ ระวังฟ้าผ่านะค่ะ ” มิ้งพูดเตือนจนทำให้ผมถึงกับยืนนิ่งไปไหนต่อไม่ได้
“ วันนี้ได้ฉันจะอัดพี่สมใจอยากของฉันแน่ๆ ” คานะพูดเสร็จพร้อมกับหยิบดาบที่แนบอยู่ข้างหลังมาขัดถูให้เงางามเหมือนใหม่ โอเคตอนนี้ผมคงได้รู้ความรู้สึกที่พี่ชินเป็นอยู่แล้วล่ะ 
“ ห้องนี้วุ่นวายกันแต่เช้าเลยเนอะ !! ชาร์ ” 
กล่าวถึงเรื่องราวอีกฟากหนึ่งของห้อง 2 ก่อนที่จะเข้าเรียน ผู้หญิงผมยาวสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังเดินอุ่มกระต่ายตัวหนึ่งสีขาวพร้อมกับมีนกกระตัวเล็กตัวน้อยมาเกาะ มาบินว่อนรอบๆ เธอไปหมด ทักทายชาร์ซึ่งกำลังยืนอึ่งอยู่ เนื่องจากตกใจกับเหล่าสัตว์เล็กน้อยใหญ่ ชาร์ที่พึ่งเสร็จจากการลอกการบ้านของพี่เจี๋ย ซึ่งให้เทอรี่นั่งลอกต่อจากเธออยู่ใกล้ๆ พี่เจี๋ยที่ตอนนี้กำลังนั่งซึมอยู่ตรงหน้าต่าง ชาร์เริ่มตอบกลับพี่เวลมิเรียตามมารยาท
“ อ้าว !! พี่เวลมิเรียมาแต่เช้าเลยนะเนี่ย แหม่ก็วันนี้มันวุ่นวายนิดหน่อยน่ะสิ ฉันเองก็คิดว่าวันนี้จะรีบมาเช้าๆ สักหน่อยกลับกลายเป็นว่า ตื่นสายซะงั้น แย่จังเลยเนอะ ” ชาร์เกาที่ศีรษะแสดงอาการเขิญอายเล็กน้อย
“ นั้นสินะจ้ะ ทีหน้าทีหลัง เจ๊ก็รู้จักดูแลตัวเองมากกว่านี้ล่ะกันนะ เจ๊น่ะทั้งทำงานพิเศษหลังเลิกเรียน ทั้งเป็นรองหัวหน้าห้องคอยแบ่งเบาภาระงานของห้องที่ตัวหน้างี่เง่าของเราทำไว้อีก ถ้ามีอะไรบอกได้นะฉันยินดีช่วยเสมอ ” พี่เวลแสดงอาการสงสารชาร์ โดยยืนมือมาจับที่มือของเธอแสดงอาการห่วงใย ปล่อยเจ้ากระต่ายตัวเมื่อสักครู่ไปเกาะบนไหล่
“ เห้ยๆ !! พี่อย่ายืนว่ากันตรงๆ ต่อหน้าสิ ผมนั่งอยู่ตรงนี้ก็อายเหมือนกันนะพี่ !! ” พี่เจี๋ยแอบที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ บ่นออกมาให้ได้ยินเล็กน้อย ทำให้ชาร์หันไปมองพี่เขาสักครู่พร้อมหัวเราะเบาๆ
“ ไม่เป็นไรหรอกพี่ !! ไม่ต้องห่วงฉันหรอก ฉันชินแล้วล่ะ ว่าแต่พี่เวลมิเรีย วันนี้พี่พาพวกเขามาอีกแล้วเหรอ ” ชาร์มองไปที่บรรดาสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยทั้งหลายที่ตามเวลมิเรียมา รวมทั้งเจ้ากระต่ายที่กำลังเล่นผมสีน้ำเงินเข้มอันยาวสลวยของพี่เวลมิเรีย
“ อ้าว !! แหม่เจ๊ก็พูดเกินไปแล้วนะ พวกเขาน่าสงสารจะตายไป ดูที่กระต่ายตัวน้อยที่ฉันอุ้มอยู่สิ ฉันเห็นเขาเดินอยู่แถวหน้าโรงเรียนมาตั้งหลายวัน รู้สึกว่าเขาเหมือนจะโดนทอดทิ้งนะจ้ะ ” ชาร์มองอย่างบรรจงที่ตัวกระต่าย
“ หวังว่านี่คงไม่ใช้เหตุผลที่จะเอาสัตว์เข้ามาเลี้ยงในโรงเรียนหรอกนะพี่เวลมิเรีย ” 
“ แหม่ !! เจ๊ก็พูดเกินไปนะ ฉันไม่เคยคิดแบบนั้นเลย ก็พวกเขาน่าสงสารออก ถ้าปล่อยให้พวกเขาเป็นแบบนั้น มีหวังฉันคงกินไม่ได้นอนไม่หลับ แน่นอนล่ะจ้ะ ” พี่เวลมิเรียพูดเสร็จพร้อมกับเล่นกับเจ้ากระต่ายตัวน้อยที่เธออุ้มมา 
“ นี่ๆ พี่เวลมิเรียคือพอดีว่า เมื่อวานอาหารแมวที่พี่ฝากซื้อไว้ ผมลืมไม่ได้ซื้อมา ยังไงผมต้องขอโทษจริงๆ นะพี่ ” เทอรี่หลังจากที่ลอกการบ้านอย่างเอาเป็นเอาตายเสร็จเป็นที่เรียบร้อย เขาเห็นพี่เวลมิเรียยืนคุยกับชาร์อยู่ข้างๆ จึงเดินเข้าไปคุยด้วย โดยสารภาพคำพูดเบื้องต้นออกมา
“ แกว่ายังไงนะ !! ไอ้เทอรี่ ” พี่เวลมิเรียพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่เยือกเย็นและดุดัน ทำให้ชาร์ซึ่งยืนอยู่ใกล้เคียงเกิดอาการตกใจเล็กน้อย เทอรี่เริ่มหน้าซีดอย่าเห็นได้ชัด เขารู้ตัวดีว่า เรื่องร้ายกำลังจะเกิดขึ้นกับเขาที่ทำให้พี่เวลมิเรียโกรธ
ว่าไปแล้วนั้นคงต้องแนะนำเพื่อนรุ่นพี่ สมาชิกในห้อง 2 ของผมอีกคนหนึ่งที่มีชื่อว่า เวลมิเรีย ดราโกนาส เรียกกันสั้นๆ ว่า พี่เวลมิเรีย หรือ พี่เวล อายุ 18 ปี เป็นคนที่มีอายุมากรองลงมาจากพี่ชิน ผู้ที่เรียนจบมัธยมปลายแล้วก็มาต่อที่โรงเรียนนี้เพื่อเรียนวิชาชีพ เธอเป็นคนที่รักสัตว์มากๆ ถึงขนาดตามให้อาหารสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลายที่อยู่หน้าโรงเรียนทุกวัน เธอเป็นคนที่สวย มีรัศมีของคุณหญิงคุณนายอย่างเต็มตัว เป็นคนที่มีมารยาทดีงามอย่างครบถ้วน แต่จะนิสัยดุสุดๆ เมื่อเธอเห็นอะไรไม่ตรงตามที่เธอต้องการหรือถูกต้อง มิ้ง คานะ อาริน และชาร์ มักจะขอคำแนะนำถึงเรื่องต่างๆ นาๆ จากพี่เวลมิเรียผู้นี่เสมอๆ แต่เคยมีคำเตือนอยู่อย่างหนึ่งที่กล่าวโดยมิ้งไว้ว่า อย่าทำให้พี่เวลมิเรียผู้นี้เป็นอันได้โกรธพิโรธวาทังเด็ดขาด เนื่องจากพลังความโกรธของเธอนั่นโหดร้ายเย็นชาที่สุดในห้องนี่เลยทีเดียว 
“ คือว่า พี่เวลมิเรีย ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะพี่ พอดีว่า เมื่อวานมีสุนัขตัวหนึ่งนะสิขาหักอยู่หน้าโรงเรียนระหว่างจะกลับบ้าน ผมน่ะนะเห็นแล้วสงสารเหลือเกิน อดใจไม่ได้พี่ ผมก็เลย…” เทอรี่พยายามพูดอธิบายเหตุผลที่ทำไมตัวเขาเองไม่สามารถซื้ออาหารแมวมาให้พี่เวลมิเรียได้
“ แล้วเป็นยังไงต่อ แล้วแกทำยังไงกับสุนัขตัวนั้นล่ะ แล้วแกได้ให้อาหารพวกมันรึป่าว แล้ว…แล้ว…”
“ เอ่อ !! พี่เวลมิเรีย ให้ไอ้เทอรี่มันพูดให้จบก่อนซิ อย่าพึ่งใจร้อน ไอ้เทอรี่คงไม่ใจร้ายถึงขนาดเอามันไปแกงต้มยำกินหรอก เนอะ ? ” ชาร์หันไปถามเทอรี่
“ ก็นะ ” เขาตอบเบาๆ
“ เห้ย !! เทอรี่ แกเอาจริงดิ นี่แกเริ่มไม่มีกินที่บ้านต้องมากินสุนัขแล้วหรอ พี่เวลมิเรียพูดอะไรหน่อยสิ ” ชาร์ตกใจเมื่อได้ยินที่เทอรี่พูด เธอนั้นเชื่อสนิทในขณะที่พี่เวลมิเรียยังทำหน้าเฉยๆ อยู่และเทอรี่ที่แอบหัวเราะเบาๆ หลังจากที่เห็นอาการของชาร์
“ ก็รู้ !! ว่าไอ้เทอรี่มันพูดเล่น เจ๊เนี่ยเชื่อเขาไปหมดเลยใช้ไหมเนี่ย ? ” พี่เจี๋ยที่นั่งอยู่ข้างๆ พูดแทรกขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่นั่งเงียบฟังอยู่พักใหญ่
“ อ้าวหรอ ไม่น่าทำไมพี่เวลถึงไม่เสทือนสักนิดเลย ฉันเนี่ยสงสัยทำงานมากเกินไปสินะ แหะๆ ” ชาร์พูดเสร็จพร้อมหัวเราะเบาๆ เล็กน้อย
“ พักหน่อยบ้างก็ดีนะเจ๊ !! ร้านไม่ต้องไปทำงานทุกวันก็ได้ นอนเล่นกินนมอุ่นๆ ที่บ้านบ้างก็ได้ ” พี่เจี๋ยแนะนำชาร์ที่ตอนนี้เธอกำลังมึนๆ อยู่ในตอนเช้า
“ พี่ก็พูดถูกนะพี่เจี๋ย ฉันว่าฉันควรจะเพลาๆ บ้างก็ดี น่าจะชิวๆ เหมือนพี่บ้างสินะ ”
“ บอกแล้ว เจี๋ยซะอย่าง !! ” พี่เขาพูดเสร็จพร้อมกับเชิดหน้าอกเล็กน้อย
“ เห้ย !! ” ชาร์ฉุดคิดอะไรบางอย่างได้ “ ถ้าเป็นเหมือนพี่ก็แย่สิ เดี่ยวเพื่อนไม่คบเอา นิสัยพี่ยิ่งชั่วๆ อยู่ ” พี่เจี๋ยเท้าเอวแสดงอาการเคืองเล็กน้อยทันที โดยมีเทอรี่ยืนหัวเราะข้างๆ เจี๋ยจึงตบไปที่ศรีษะเทอรี่อย่างไร 
“ โอ้โหเจ๊ชาร์ ” เจี๋ยพูดด้วยน้ำเสียงเคืองๆ “ ฉันนี้ชั่วตรงไหนห้ะ หน้าตีก็ดี รูปหล่อ แล้วฉันจะยังมีตรงไหนให้ชั่วอีกห้ะ ? ” ชาร์หยิบกระจกพกอันเล็กจากกระเป๋าสะพายของเธอออกมา ยื่นให้พี่เจี๋ย
“ ลองส่องดูพี่ ” พี่เจี๋ยหยิบกระจกพกของชาร์มาส่อง
“ เหร้ย !!! ” พี่เขาแสดงอาการตกใจอย่างสุดๆ เมื่อส่องกระจก “ ใครว่ะเนี่ย ? โครตหล่อเลยอ้า !! ” พี่เขาทำเสียงดัดจริตเหมือนผู้หญิงชื่นชมตัวเองตามนิสัยของพี่เขา
ชาร์และคนอื่นๆ อ้วกทันที “ โหยพี่กล้าพูดว่ะ ” เทอรี่กล่าวพร้อมกับหัวเราะให้กับความหลงตัวเองของพี่ชายเขา
เจี๋ยหยิบหนังสือเล่มเมื่อครู่มาตีที่ศรีษะของเทอรี่ “ หัวเราะอะไร ไอ้เทอรี่ ” เทอรี่ร้องไห้ทันทีเมื่อโดนตี
“ พี่ตีหัวผมทำไมอ่ะ ” เทอรี่พูดพร้อมกับน้ำตาของลูกผู้ชาย
“ ก็แกหัวเราะเยาะเย้ยฉันไม่ใช้หรอไง ห้ะ !! ” พี่เจี๋ยเถียงกลับไป
 “ ป่าวพี่ ผมไม่ได้หัวเราะ โอ้ (เทอรี่ถอนหายใจ) พี่เนี่ยแก่แล้วนะเนี่ย หูไม่ดีๆ ” พี่เจี๋ยชี้หน้าไปที่เทอรี่เตือนว่าอย่าหัวเราะอีก เทอรี่ได้แต่หัวเราะทำหน้าระรื่นต่อความโง่เขลาของรุ่นพี่ตัวเอง
“ เห้อ !! วันนี้มันวันอะไรว่ะ ซวยชิบเป๋งเลย วันนี้มันจะมีอะไรซวยกว่านี้อีกว่ะห้ะ ? ” พี่เจี๋ยบ่นให้กับชีวิตของตัวเอง เพื่อนๆ ของเขาที่อยู่ข้างๆ ก็พากันหัวเราะให้กับความทุกข์ของพี่เจี๋ย
“ หัวหน้าแย่แล้วครับ คือว่า ตอนนี้…. ” พี่เจี๋ยพูดไม่ทันขาดคำ นักเรียนคนหนึ่งในห้องที่เป็นลูกน้องของเขา วิ่งมารายงานพี่เจี๋ยด้วยอาการที่เร่งรีบ หน้าตาซีดเสียวเหมือนเจอผี ฝ่าดงระเบิด สงครามรอบทิศ ปีนกำแพงเมือง ว่ายข้ามมหาสมุทร และอีกมากมายที่ความคิดในการบรรยายตอนนี้ของผมสามารถแถได้
“ อะไรเล่า มีใครตายรึไง ” พี่เจี๋ยพูดเชิงประชด
“ คุณเรนดร้อป กับ คุณไลก้า กำลังโดน คุณเวสแฟร คุณมีเดส และคุณอาชิตะ ซ้อมอยู่ที่หลังห้อง เละเลยครับ หัวหน้าช่วยไปห้ามทีก่อนที่สองคนนั้นจะตายซะก่อน ”
“ อ่อ !! นึกว่าอะไร ” พี่เจี๋ยแสดงอาการโล่งอก
“ อ้าวเห้ย !! ได้ไงล่ะนั้น โธ่เอ๋ยวุ่นวายแต่เช้าเลยพี่น้อง เอ๋ยๆ ใจเย็นๆ อย่าพึ่งฆ่าแกงกัน…. ” พี่เจี๋ยตกใจอย่างสูดขีดหลังจากได้ยินที่ลูกน้องของเขารายงานให้ พี่เขาจึงรีบวิ่งไปที่หลังห้องเพื่อที่จะไปห้ามแม่สามสาวที่กำลังรุมกินโต๊ะผมกับพี่ชินอย่างเมามันส์ พี่เขาวิ่งห้ามยัยคานะเป็นคนแรกโดยการจับดึงแขนทั้งสองข้างเอาไว้
“ หน่อยแนะ !! อย่าห้ามชั้นสิ นานๆ ทีชั้นจะได้อัดหมอนี่ทีนึง ทำตัวน่าหมั่นไส้มานานแล้ว ปล่อยชั้นน้า !! ” คานะตะโกนด่าระหว่างที่เธอใช้แรงมหาศาลขยับตัวเหวี่ยงตาพี่เจี๋ยที่กำลังห้ามเธอให้ไปอีกทาง
“ ใจเย็นน่าคุณน้องเล็ก ค่อยๆ คุยกันเราพี่น้องกันนะ ” ตาพี่เจี๋ยก็พยายามตะโกนห้ามยัยคานะเช่นกัน
“ ไม่ต้องห่วงค่ะคุณพี่หัวหน้าห้อง น้องๆ คุยกันเรียบร้อยแล้วผลก็ออกมาอย่างที่เห็น เดี่ยวพอสมแก่ใจแล้ว พวกน้องก็จะหยุดเองค่ะ ไม่ต้องห่วง ไม่มีรอยเสียหายแน่นอน ” มิ้งหยุดอัดผมชั่วครูหนึ่ง หันมาคุยกับพี่เจี๋ยด้วยน้ำเสียงที่อํามหิต เยอะเย็น พร้อมกับสายตาที่มืดมน
“ อ่อหรอ !! คุยกันเรียบร้อยแล้วใช้ไหม โอเคเชิญทำธุระต่อได้เลยตามสบาย ” พูดเสร็จพี่เจี๋ยก็ปล่อยให้คานะมาอัดผมต่อแล้วเดินออกไปหน้าตาเฉย
“ อ่าวเห้ยๆ กลับมาช่วยกันก่อน เจี๋ยจ๋า ช่วยด้วย !! ” พี่ชินนั้นพูดยังไม่ทันจบ น้องอารินก็เล่นเอาหุ่นยนต์ของเธอที่พึ่งชาร์ตพลังงานเต็มที่เสร็จอัดชินอย่างเมามันส์ต่อ 
“ ช่วยไม่ได้หนิพี่ชิน เมื่อวานพี่อยากก่อเรื่องเองน้า ช่วยไม่ได้ๆ ” น้องอารินพูดตอบพี่ชินกลับไปโดนตั้งหน้าตั้งใจอัดพี่ชินต่อด้วยสีหน้าที่อารมณ์ดี น่ารัก และยิ้มแย้มแจ่มใส ต่างกับสีหน้าของพี่เขาที่ตอนนี้เศร้ามอง มืดมน และโศกเศร้า
“ โอ๋ย !! หนูเจ็บจังเลย แม่จ๋า ปล่อยหนูไปเถอะ หนูขอร้อง ” ฝ่ายของตัวผมเองในตอนแรกก็ทนโดนอัดอยู่เงียบๆ ซักพัก แต่เนื่องจากตอนนี้ทนไม่ค่อยไหวแล้วหลังจากใช้ดาบผุๆ ของตัวเองป้องกันการโจมตีมาสักพัก ไม่รู้ว่าไปเก็บกดมาจากไหนถึงได้อัดแรงขนาดนี้ เลยต้องขอร้องให้มิ้งกับคานะหยุดอัดผมสักที 
“ ไม่ได้นะจ้ะ เด็กที่นิสัยไม่ดีต้องโดนสั่งสอนนะถึงจะจำ เอานี่ไปรับประทานซะ !! กระสุนเพลิงพินาศ ” มิ้งนั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่น่ากลัวเช่นเดิม เธอใช้โฮโลแกรมของเธอที่มีลักษณะเป็นไฟสีน้ำเงิน โดยเธอเริ่มดึงปืนพกขนาดย่อมๆ ออกมาจากไฟสีน้ำเงิน แล้วใช้ท่าโจมตีของเธอ “ กระสุนเพลิงพินาศ ” สาดกระสุนจำนวนมหาศาลมาที่ผม
“ ดีล่ะพี่มิ้งขอหนูบ้าง !! อนันต์คราวนี้ฉันไม่แพ้นายแน่ !! ระบำเพลิงอเวจี ” คราวนี้เป็นทีของยัยคานะบ้างโดยเธอดึงดาบของเธอที่อยู่ในฝักที่พาดอยู่ที่หลังของเธอ โฮโลแกรมสีแดงเข้มที่อยู่รอบๆ ดาบของเธอเริ่มกลายเป็นไฟร้อนระอุ จากนั้นเธอก็ใช้ดาบของเธอพุ่งมาที่ผมอย่างรวดเร็ว
“ เหอะๆ ซวยแต่เช้าเลยนะ อนันต์ เอ๋ย !! ” ผมเองก็ทำได้แต่เพียงยืนอยู่เฉยๆ รอรับของขวัญเท่านั้น
ข้ามไปกล่าวถึงเรื่องราวอีกฝากฝั่งของทางห้อง 2 ซึ่งหลังจากที่ตาเจี๋ยมาช่วยแล้วเดินหนีไปแล้วนั้น เขาก็ไปเรียกชาร์และเหล่าสมาชิกคนอื่นในห้องมาประชุมลับๆ ถึงเรื่องที่จะเข้าไปช่วยผมและชินแต่รู้สึกว่าจะไม่ค่อยได้เรื่องและสำเร็จได้ยาก เนื่องจากผมกับเจ้าชินโดนอัดเรียบร้อยแล้วกำลังนั่งสลบ ตอนนี้ทั้งสามสาวก็กำลังพักยกอยู่ซึ่งคาดว่าอาจจะมีต่อ ทางด้านชาร์เองก็รู้สึกตะหงิดๆ ว่ากำลังจะเกิดเรื่องกับทางฝั่งของเทอรี่และเวลมิเรียเช่นกัน
“ แย่จังเลยเนอะ ทางด้านโน้นดูท่าทางจะวุ่นวายน่าดูเลย ” พี่เวลมิเรียพูดทักขึ้นแล้วหันไปดูเหตุการณ์อย่างห่างๆ
“ ได้โอกาสหนีแล้ว ไปดีกว่า ขืนถ้าพี่เวลจับได้ว่าเราโกหกละก็ มีหวังคงได้… ” เทอรี่พูดกับตัวเองเบาๆ และแอบย่องหนีไปนอกห้องในขณะที่พี่เวลมิเรียหันไปทางอื่นอยู่
เทอรี่ยังไม่ทันหนีไปได้ไกลมากนัก พี่เวลมิเรียที่หน้าหันไปทางอื่นอยู่นั้น ยื่นมือมาจับที่ไหล่ของเทอรี่อย่างกะทันหันทำให้เทอรี่เกิดอาการตกใจสุดขีด “ จะรีบไปไหนล่ะจ้ะ รู้นะว่าเมื่อสักครู่ที่เราคุยกัน แกโกหกนะ ” 
“ ป๊าว !! ผมไม่ได้โกหก จริงๆ นะพี่ เมื่อวานผมเจอสุนัขที่หน้าโรงเรียนจริงๆ สาบานได้เลย ” เขารีบแก้ตัว
“ อย่ามาโกหกดีกว่า สารภาพมาซะ !! ” เธอเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่แข็งและน่ากลัวมากขึ้น
“ โถ่นี่ ผมจะไปโกหกพี่ทำม้าย !! ก็เมื่อวานผมยังพามันไปที่บ้าน ทะนุถนอม อาบน้ำ เช็ดตัว ให้อาหาร ดูแลมันอยู่เลย แหม่ !! พี่เวลคิดมากไปรึป่าว ? ” เทอรี่พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนน้อมและถ่อมตน
พี่เวลมิเรียได้ยินดังนั้นสีหน้าของเธอก็เริ่มยิ้มแย้มแจ่มใสอีกครั้งหนึ่ง “ งั้นหรอคงเป็นแบบนั้นสินะ เจ้าสุนัขสีน้ำตาลตัวนั้นโชคดีจริงๆ ที่ได้คนดีๆ อย่างแกช่วยเอาไว้ ”
“ แน่นอนอยู่แล้ว !! ” เขาตอบด้วยความมั่นใจ
“ เอ๋ !! เดี่ยวก่อนพี่เวลมิเรีย เจ้าสุนัขนั้นตัวสีเทาไม่ใช้หรอ ? ” เทอรี่ถามกลับไปใหม่ เพราะพึ่งจะมาเริ่มสับสนกับคำที่พี่เวลพูดเมื่อครู่
“ นี้ไงไอ้ตี๋ !! ” พี่เวลมิเรียชี้นิ้วไปที่เทอรี่แสดงอาการรู้ทัน เทอรี่นั้นรีบเอามือ 2 ข้างปิดปากทันที 
“ ในที่สุดก็หลุดออกมาสินะ ” พี่เวลมิเรียเปลี่ยนจากสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสเมื่อสักครู่มาเป็นสีหน้าที่เคร่งเครียดอีกครั้งหนึ่ง บรรดาสัตว์เล็ก สัตว์น้อย ที่ตามเวลมิเรียมาตอนแรกเริ่มเผ่นหนีออกจากห้องไป เหลือแต่เพียงเจ้ากระต่ายสีขาวที่แอบอยู่หน้าห้อง
“ เอ้า !! เผลอไปซะได้เวรแล้วเรา ” เทอรี่เกิดอาการสั่นกลัวสุดๆ พี่เวลมิเรียเห็นดังนั้นจึงเข้าไปใกล้เทอรี่พร้อมกับเอามือลูปที่ศีรษะของเขาเบาๆ เธอแสยะยิ้มพร้อมกับพูดว่า 
“ เอาล่ะมีอะไรจะแก้ตัวก่อนไหมจ้ะ เทอรี่ผู้แสนน่ารัก ” พี่เวลมิเรียพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“ แหม่อย่าพูดแบบนั้นสิ เขาเขิญนะตัวเอง ” เทอรี่ตอบด้วยน้ำเสียงดัดจริตแสดงอาการกวนๆ
“ ดีๆ สิจ้ะ แกอยากตายรึไง ไอ้ตี๋ ” พี่เวลมิเรียเปลี่ยนจากการลูปศีรษะมาเป็นการเอามือทั้งสองเข้ามาจับที่ไหล่ของเขาอย่างแน่นพร้อมด้วยสีหน้าที่น่ากลัวที่ทำให้เทอรี่แถบจะสลบลงไปนอนกับพื้น
  “ เปล่านะครับเปล่าเลย ไม่อยากเลยครับ ไม่อยากเลย ” เสียงของเทอรี่เริ่มสั้นเนื่องจากเกิดอาการกลัว
“ สัญญาแล้วทำไมถึงไม่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ ” เธอเอามือของเธอจิกศรีษะเทอรี่พร้อมกับตะโกนถาม
“ โหพี่ !! (เทอรี่ถอนหายใจ) ก็พอดีว่า เมื่อวานผมเที่ยวเล่นใช้ไหม มันติดลมไปหน่อยเลยลืมไปนะครับ พี่เวลให้อภัยผมเถอะพี่ ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ” เขาคุกเข่าขอร้องเวลมิเรีย
พี่เวลมิเรียเอามือ 2 ข้างเท้าเอว พร้อมกับพูดตักเตือนเทอรี่ “ ถ้าแกเอาแต่ทำนิสัยแบบนี้ ต่อไปในอนาคตก็อย่าหวังว่าจะมีใครมาไว้วางใจแกอีกก็แล้วกัน สัญญาก็ต้องเป็นสัญญาสิ ” 
“ ผมขอโทษพี่ ผมผิดไปแล้วนะ ยกโทษให้เก๊าเถอะน้า พี่เวล ” เขารู้สึกผิดสักพักก่อนที่จะกล่าวคำขอโทษ
“ อย่าลืมเชียวล่ะ แกพูดคำว่า ขอโทษแล้ว ถ้าแกได้พูดอีกเป็นรอบที่สองก็จงพิจารณาตัวเองได้แล้วล่ะ ”
“ คร้าปพี่ !! รักพี่สาวคนนี้ที่สุดเลย มีอะไรยกโทษให้ตลอด น่ารักอ่ะ !! ” เทอรี่ได้ยินที่พี่เวลมิเรียดังนั้นก็คิดว่าเธอยกโทษให้กับเขาแล้ว จึงกระโดดโลดเต้นแสดงอาการดีใจอย่างสุดขีด
“ แหม่ๆ สำหรับคราวนี้ที่แกทำให้กระต่ายน้อยที่ฉันเอามาหิว ฉันคงต้องเอาเนื้อของแกให้มันกินแล้วล่ะ ” พี่เวลมิเรียเห็นกระต่ายแอบอยู่จึงเดินไปอุ้มแล้วลูบที่หลังของมันเบาๆ 
“ โอ้ !! นึกว่าอะไร ” เทอรี่แสดงอาการโล่งอก
“ หา ?! ” พึ่งนึกได้อีกแล้วเหมือนกับพี่เจี๋ยไม่มีผิด
 “ บะ…บ้าไปแล้วหรอพี่ !! กระต่ายที่ไหนกินเนื้อล่ะ พี่เวลมิเรียอย่าเชียวนะ พี่อย่าคิดแบบนั้น ” เทอรี่ได้ยินที่พี่เวลมิเรียพูดก็เกิดอาการตกใจ เหงื่อของเขาเริ่มออกมาเรื่อยๆ สีหน้าของเขาเริ่มซีดเขียว เพราะ อาการกลัวอีกครั้งหนึ่ง
พี่เวลมิเรียเมื่อได้เห็นอาการของเทอรี่จึงหัวเราะเบาๆ “ แหม่ๆ กลัวใหญ่เลย ฉันล้อเล่น !! ” เธอบอกกับเทอรี่ไปในเชิงการแกล้งเล่น ความเครียดของเทอรี่ให้ไปหมดจดในทันทีที่ได้ยิน
“ เห้อ !! โล่งอกไป ผมว่าอยู่แล้วว่าพี่จะต้องพูดเล่นล่ะนะ ” เทอรี่หลังจากได้ยินอย่างนั้นก็โล่งอกพร้อมกับหัวเราะให้กับตัวเอง ถึงอย่างนั้นเหงื่อของเขาที่ไหล่ในตอนแรกก็ยังคงไหล่ออกมาอยู่
ไม่นานหลังจากที่เทอรี่โล่งอก ดูเหมือนว่าพี่เวลมิเรียจะไม่พอใจกับอาการที่เทอรี่แสดงออกมาเท่าไหร่ สีหน้าของเธอเริ่มหม่นหมองมืดมนอีกครั้ง ลักษณะอาการแบบนี้เป็นอาการของผู้หญิงที่ถ้ามองจากมุมมองของผู้ชายอย่างเราๆ แล้วนั้นคงไม่สามารถอธิบายได้ มันลึกล้ำเกินกว่าจะสามารถบรรยาย จินตนาการได้ พี่เวลมิเรียเดินออกจากห้องไปจากนั้นเธอก็นำเอาวัสดุบางอย่างมาวางไว้รอบตัวของเทอรี่ ผูกเขาไว้กับไม้ที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ เทอรี่เห็นแล้วนั้น เขาก็เริ่มมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีอีกครั้งจึงถามพี่เวลมิเรียถึงสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่
“ เห้ยๆ พี่ !! นี่พี่ทำอะไรอีกล่ะเนี่ย ? ทำไมผูกผมไว้กับไม้แบบนี้ล่ะพี่ ” พี่เวลมิเรียไม่ได้ให้ความสนใจกับคำถามของเทอรี่เลยแม้แต่นิดเดียว เธอยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำงานของเธอต่อไปเรื่อยๆ สักพักพออารมณ์ดีขึ้นก็ตอบเทอรี่กลับไป
“ ต้มเนื้อแกให้กระต่ายกินไง ” เธอตอบกลับมาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มที่เปี่ยมไปด้วยความโหดร้ายทำให้คราวนี้เทอรี่ถึงกับกลัวจนขนาดกรี้ดแตกเลยทีเดียว
“ ม้าย !! ช่วยด้วยๆ ใครก็ได้ช่วยหนูด้วย พี่เวลมิเรียสุดสวยใจเย็นนะจ้ะ อย่าพึ่งทำอะไรวู้วามเชียวนะ ” 
“ ช่างน่าสงสารจริงๆ เลยเจ้ากระต่ายตัวน้อย คงหิวแย่เลยล่ะสิ ดูสิเนี่ยคนใจร้ายไม่ยอมซื้ออาหารมาให้เธอ มันจะต้องชดใช้กับสิ่งที่มันได้ทำเอาไว้ ”
“ เห้ยพี่ !! ผมไม่น่าสงสารกว่าหรอครับเนี่ย สัญญาเลยต่อจากนี่ไปจะไม่ผิดสัญญากับใครอีกแล้วพี่ หนูสัญญา ”
“ กระต่ายตัวเล็กตัวน้อย ตัวเล็กจิ้ดเดียว กำลังเร่งไฟๆ เร่งอีกๆ ให้ร้อนระทมไปถึงทรวงใน เย้ !! ” พี่เวลมิเรียมีความสุขมากกับการกระทำของเธอในขณะนี้ เพลงที่เธอร้องออกมาเป็นเพลงที่มีท่วงทำนองที่เป็นจังหวะอย่างลงตัว
“ เชื่อผมเถอะ !! ท่านทั้งหลายนรกมีจริง ร้อนที่ก้นมากๆ ” เทอรี่ได้รับผลของการกระทำของเขาเรียบร้อยแล้ว
เจ๊ชาร์หลังจากยืนดูอยู่สักพัก เธอเห็นเทอรี่กำลังตกอยู่ในสถานะที่ย่ำแย่จึงได้ปลีกตัวออกมาจากกลุ่มของพี่เจี๋ยที่กำลังมุ่นอยู่กับการปฏิบัติการช่วยเหลือผมกับพี่ชินอยู่ เธอหลังจากที่สามารถออกได้แล้วนั้น จึงรีบเข้าไปห้ามพี่เวลมิเรียให้หยุดการกระทำของเธอ
“ พี่เวลมิเรียหยุดเถอะค้า !! สงสารเจ้าเทอรี่มันหยุดเถอะ เดี่ยวเจ๊ไม่ได้ค่าเงินที่มันติดไว้ ”
“ เจ๊ชาร์ คนโกหกแบบนี้คงไม่คืนเงินที่ยืมไปอย่างแน่นอน สู้ไปเอาเงินจากเงินประกันชีวิตของไอ้ตี๋นี้ดีกว่า ”
“ เห้ยพวกพี่ !! คิดกันแบบนี้ได้ไงเนี่ย ไม่ดีเลยน้าพี่ !! ” เทอรี่ร้องโหยหวนออกมาจนทำให้พี่เวลมิเรียต้องเร่งความแรงของไฟที่ใช้อีก
“ จะว่าไปแล้วก็น่าสนใจอยู่นะพี่เวล ถ้าเกิดได้เงินประกันชีวิตของมันนี่มาก็… โอ้โห !! รวยเละเลย เจ๊เปิดร้านสาขาที่สองได้แน่นอน ความคิดเยี่ยมไปเลย ” เจ๊ชาร์ยกนิ้วโป่งให้กับความคิดของพี่เวลมิเรีย ชาร์เกิดกิเลสในใจของตนเองจนตอนนี้ไม่ได้มีใจคิดจะช่วยไก่เทอรี่แม้แต่นิดเดียวเลย
เหตุการณ์ในห้องตอนนี้วุ่นวายมากๆ ไม่มีส่วนใดเลยในห้อง 2 ที่ตอนนี้จะสงบสุข มีเรื่องวุ่นวายเต็มไปหมด แต่แล้วก็มีบางอย่างหยุดทุกการกระทำในห้องนี้ไป ลูกน้องของพี่เจี๋ยคนหนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกทั้ง 22 คนของห้องนี้ที่กำลังเฝ้าดูต้นทางอยู่หน้าประตูห้องเรียนก็ต้องรีบวิ่งหน้าตาตื่นมาหาพี่เจี๋ยที่กำลังม่วนอยู่กับปฏิบัติการช่วยเหลือผมกับชิน เนื่องจากเขาได้เห็นบางสิ่งบางอย่างกำลังมุ่งหน้าเข้ามาที่ห้อง บางสิ่งบางอย่างที่น่ากลัวยิ่งกว่าอะไรๆ 
“ หัวหน้าๆ แย่แล้ว !! ตอนนี้ คะ…คือว่า… ”
“ อะไรเล่า !! ตอนนี้ฉันกำลังยุ่งอยู่นะเนี่ย มีใครตายอีกล่ะ ” พี่เจี๋ยตะโกนถาม
“ ตอนนี้อาจารย์อาร์ซิเลี่ยนกำลังมุ่งหน้ามาที่ห้องนี้ อีกไม่ถึง 10 นาทีอาจารย์จะมาถึงแน่นอน !! ”
“ โอ้ !! นึกว่าอะไร ” พี่เขาแสดงอาการโล่งอก
แต่แล้วพอพี่เจี๋ยคิดไปคิดมาถึงเรื่องคำพูดของลูกน้องตัวเองอย่างดี พี่เขาจึงกลับมาตกใจอีกครั้ง 
“ หา !! อาจารย์อาร์ซิเลียนกำลังมาที่ห้องนี้ !! ได้ไงอ่ะ ? ไหนแกบอกว่าวันนี้ไม่เข้าชั่วโมงแรกไง อีกอย่างตอนนี้แค่ 8 โมง 15 นาทีเองหนิ ทำไมเข้าเร็วจังเนี่ย !! ” 
“ อาจารย์อาร์ซิเลียนบอกว่า วันนี้มีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับทุกๆ คนด้วยนะครับ อาจารย์ท่านฝากบอกผมมาเมื่อวานขอรับ ” ลูกน้องของพี่เขาที่อยู่ข้างๆ รายงาน
“ อ้าวทำไมฉันไม่รู้เรื่องนี่เลยล่ะ ?! ” พี่เขายิ่งเกิดอาการตกใจมากขึ้นเมื่อลูกน้องของพี่เขารายงานมาอีก
“ …………….. ” ลูกน้องของพี่เขาพูดไม่ออกได้เพียงแต่ขยับปากไปมาเท่านั้น พี่เจี๋ยจึงเอาหนังสือเล่มเดิมที่ตีเทอรี่เมื่อครู่มาตีที่ศีรษะของลูกน้องของพี่เขาอีกครั้ง
“ โธ่เอ๋ย !! พวกแกนี่ไม่ได้เรื่องกันจริงๆ เรื่องสำคัญทำไมไม่บอก เวรแล้วๆ ฝั่งนึงก็กำลังอัดกันเละเทะ อีกฝั่งนึงก็กำลังจะเผาสด จะทำยังไงดีเนี่ย เจี๋ย !! คิดสิว่ะ คิด !! ” พี่เขาบ่นทุรนทุรายพร้อมขยี้ผมแสดงความเครียดออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน
“ เอางี้ดีไหมหัวหน้า จุดไฟเผาทางเดินก่อนเข้าห้องเราไหมอาจารย์จะได้เดินมาไม่ได้ไง ” ลูกน้องคนหนึ่งเสนอ
“ ไม่ได้หรอก !! จะเอาน้ำมันมาจากไหนเยอะแยะ ” พี่เจี๋ยตอบกลับไป
“ หรือว่า ระเบิดทางเดินก่อนที่อาจารย์จะมาถึงทิ้ง ” ลูกน้องอีกคนหนึ่งที่อยู่ข้างหลังเสนอขึ้นมา
“ นั้นก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน เดี่ยวอาคารโดนแรงระเบิดไปด้วยคราวนี้ซวยเลย ” พี่เจี๋ยตอบกลับไปเช่นเดิม
“ หัวหน้าเอางี้ดีไหมค่ะ !! เราช่วยกันใช้พลังของพวกเราถ่วงเวลาของอาจารย์ไว้จะได้ประหยัดเวลาเยอะเลย ” ลูกน้องของพี่เขาที่เป็นผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างหลังพี่เจี๋ยกับกลุ่มเพื่อนของเธออีกเล็กๆน้อยๆ ที่เราในห้องมักจะเรียกพวกเธอว่า “ กลุ่มคาอาร่า ”
“ จะไหวรึไงขนาดแค่ยืนมองหน้าอาจารย์พวกเธอเองยังขาสั่นเลย ‘ คาอาร่า ‘ แล้วจะเอาอะไรไปสู่อาจารย์เขา ” พี่เจี๋ยตอบกลับมาพร้อมกับน้ำเสียงที่ประชดประชัน
“ ทำไมไม่ลองแบบนี้ดูล่ะ ? ล็อคประตูไม่ต้องให้อาจารย์เข้ามา ผมว่าเราอาจจะพอสามารถถ่วงเวลาได้สักพักหนึ่งนะครับ ” ลูกน้องคนที่โดนพี่เจี๋ยตีที่ศีรษะเมื่อสักครู่นี่เสนอแนวคิดให้พี่เจี๋ย
“ เป็นความคิดที่ดีมาก… (พี่เจี๋ยชี้นิ้วชี้ขึ้นแสดงอาการปิ้งไอเดีย) บ้ารึป่าว !! ถ้าเกิดอาจารย์เขาถามว่า.. ”
พี่เขากระแอ้ม ก่อนที่จะทำเสียงล้อเลียนอาจารย์ซึ่งเสียงคล้ายกับคนไม่มีเส้นเสียง แต่จริงๆ เสียงอาจารย์แกไม่เป็นแบบนั้นนะ “ ทำอะไรถึงไม่เปิดห้อง พวกแกกำลังกินก๋วยเตี๋ยวเรืออยู่ใช้ไหม ? ” ลูกน้องของพี่เขาที่อยู่รอบๆ อั้นอาการหัวเราะเบาๆ เพื่อไม่ให้พี่เจี๋ยอารมณ์เสีย
“ ไม่ต้องบอกอาจารย์เขาว่าเรากำลังถ่ายหนังกันอยู่เลยรึไง ” พี่เขาขึ้นเสียงทำให้ลูกน้องของพี่เขา จากที่อั้นหัวเราะตอนแรกมากลั้นน้ำตาแทน พี่เจี๋ยเอามือปิดหน้าตัวเองแสดงอาการเครียดและขบคิด
ในขณะที่พี่เจี๋ยกำลังเถียงกับเหล่าสมาชิกในห้องนั้นเอง ชาร์ที่แอบฟังมาตลอดจึงรีบวิ่งเข้ามาแนะนำ “ พี่เจี๋ย !! พี่จะทำอะไรก็รีบทำเถอะ ไม่มีเวลามาให้คิดเล็กคิดน้อยแล้ว เอาวิธีล็อคประตูของลูกน้องพี่นั้นแหละ "
“ จะดีหรอ ฉันว่าลองวิธีอื่นดีกว่าไหม มันน่าจะมีวิธีที่ดีกว่านี้สิเจ๊ ” พี่เจี๋ยถามชาร์ด้วยอาการที่หลังเลใจ
“ โธ่เอ๋ย !! ” เจ๊ชาร์พูดด้วยอารมณ์ค่อนข้างโกรธพร้อมกับเอาหนังสือที่พี่เจี๋ยใช้ตีมาตลอดทั้งห้องมาตีศีรษะของเขาซะเอง พี่เจี๋ยนั้นถึงกับหงอไม่กล้าทำอะไรชาร์เลยทีเดียว
“ เพราะยังงี้ไงเวลมิเรียถึงได้ว่าพี่ว่าเป็นหัวหน้าที่ไม่ได้เรื่องไงล่ะ แค่เรื่องแค่นี้พี่ยังตัดสินใจไม่ได้เลย แล้วต่อไปถ้าเกิดมีปัญหาที่หนักกว่านี้อีกพี่เจี๋ย เห้อ !! (ถอนหายใจ) อย่างพี่ก็คง… ” ชาร์นั้นพูดไม่ทันจะจบพี่เจี๋ยจึงพูดแทรกออกมาอย่างกระทันหัน หลังจากทนชาร์ยืนบ่นด้วยอาการเก็บกดซะนานว่า
“ หยุดพูด !! Shut Up !! (หุบปาก) นี่เจ๊ดูถูกฉันอีกแล้วนะเจ๊ชาร์ เรื่องแค่นี้ทำไมฉันจะทำไม่ได้ กระจอก !! เดี่ยวฉันนะ เจี๋ยจะแสดงสปิริตของความเป็นผู้นำ ให้เจ๊ดูเป็นขวัญตาเอง ” พี่เจี๋ยพูดเสร็จพร้อมกับยืดอกแสดงสปิริต
“ พวกนายไปดูที่หน้าประตู พยายามถ่วงเวลาอาจารย์อาร์ซิลเลี่ยนให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ รอฟังสัญญาณจากฉันถ้ามีสถานการณ์อะไรไม่ดีให้เรียบรายงานให้เร็วที่สุด Understand !! (เข้าใจไหม) ”
“ รับทราบ !! ท่านหัวหน้าที่ไม่ได้เรื่อง ” ลูกน้องที่เป็นผู้ชายทั้งหมดรับคำสั่งของพี่เขาพร้อมกับรีบแบ่งไปทำหน้าที่ของตนเองตามที่ได้รับมอบหมายไว้ เพราะด้วยคำพูดข้างต้นทำให้พี่เจี๋ยแอบหันมาเหล่สายตาเล็กน้อย
แต่นั้นไม่ได้ทำให้พี่เจี๋ยโมโหเต่อย่างใดพร้อมกับหันไปสั่งให้คำสั่งกับชาร์ที่ยืนอยู่กับพวกคาอาร่าต่อ “ ส่วนพวกเธอ ‘ คาอาร่า ’ พวกเธอและก็เจ๊ชาร์ไปห้ามพี่เวลไม่ให้เผาไอ้เทอรี่ให้ได้ จัดเก็บสถานที่ให้เรียบร้อยอย่าให้มีขี้เถาหรือเศษไหมให้เหลือแม้แต่นิดเดียว ”
“ โอเค !! เดี่ยวเจ๊จัดการให้เองพี่เจี๋ย ไปเถอะพวกเรา ” หลังจากชาร์ได้รับคำสั่งตามที่มอบหมายเรียบร้อยแล้วนั้น ก็รีบไปห้ามพี่เวลมิเรียโดยที่มีเหล่าคาอาร่าคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ
“ สำหรับพวกแกไปกับฉัน เราจะไปแก้สถานการณ์กันแบบเร่งรีบกัน เอาล่ะไปได้ !! ” เจี๋ยนั้นก็ไม่ได้รอช้าอะไร เขารีบหันหลังไปสั่งเหล่าลูกน้องของพี่เขาที่หลงเหลืออยู่ พร้อมกับรีบวิ่งมาช่วยผมกับพี่ชินที่กำลังจะโดนอัดอีกรอบพอดี
8 นาฬิกา 13 นาที ณ ห้อง ปี 4-2 โรงเรียนเดสตินี่ ตอนนี้กำลังเกิดความกลลาหลอย่างหนัก ทุกสิ่งทุกอย่างภายในห้องตอนนี้ยุ่งวุ่นวายมากๆ พี่เจี๋ย ชาร์ และเหล่าคนที่เหลือภายในห้องเองกำลังทำหน้าที่ของตนเองอย่างหนักหน่วงเพราะรู้ว่า ในไม่ช้าหากพวกเขายังไม่ได้ทำอะไรสักอย่างเพื่อที่จะรักษาความสงบสมดุลภายในห้องเรียนให้ปกติได้นั้น อาจารย์อาร์ซิลเลียน ครูประจำชั้นที่พวกเราทั้งหลายในห้องกลัวก็อาจจะระเบิดพลังกับเราได้ง่ายๆ แน่นอนถ้าเกิดได้มาเห็นห้อง 2 ที่ตนประจำชั้นมีสภาพอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ คงโดนเทศน์ยาว ทางฝ่ายของชาร์นั้นพยายามห้ามพี่เวลมิเรียอย่างสุดความสามารถ ในขณะที่คาอาร่าเองนั้นก็พยายามแก้เชือกที่มัดเทอรี่ติดอยู่กับเสา แต่ดูเหมือนว่ามันจะแก้ไม่ออกเนื่องจากที่ปลายเชือกถูกใส่แม่กุญแจเอาไว้ และพี่เวลมิเรียนั้นเป็นผู้ถือกุญแจซึ่งไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรที่กำลังจะเกิดขึ้นกับห้องเลย เธอนั้นตอนนี้หน้ามืดจิตใจเพ้อลอยอยู่ เป็นอาการของคนที่อยู่ในช่วงซาดิสม์ ด้านมืดของพี่เวลมิเรียที่เราหลายๆ คนในห้อง 2 ต่างเกรงกลัว ส่วนทางด้านของพี่เจี๋ยและลูกน้องคนอื่นๆ ของพี่เขาก็พยายามห้ามมิ้ง คานะ และอาริน อย่างสุดความสามารถเช่นกัน
“ ปล่อยฉันนะค่ะ !! ช่วงโมงแรกยังไม่เข้าเลยนะค่ะ ขอให้ฉันจัดการธุระของฉันให้เสร็จก่อนได้ไหม ? ” มิ้งนั้นที่กำลังจะหยิบปืนพกอีกกระบอกที่อยู่ข้างๆ มายิงใส่ผมก็ต้องถูกห้ามไว้โดยเหล่าลูกน้องของพี่เจี๋ยประมาณ 4-5 คน
“ หยุดเถอะนะครับ คุณมีเดส ! หากคุณไม่หยุดล่ะก็มีหวังได้เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นกับห้องเราแน่ๆ หยุดเถอะครับ หยุดเถอะ !! ” ลูกน้องของพี่เจี๋ยคนหนึ่งกล่าวในขณะที่จับแขนของมิ้งพยายามทนแรงเหวี่ยงอย่างสุดความสามารถ
“ อะไรมันจะแย่กว่าเรื่องของพี่อนันต์ อีกล่ะ ?! ” เธอตะโกนถาม
“ ก็เรื่องที่วันนี้อาจารย์อาร์ซิลเลียนจะเข้าชั่วโมงแรกก่อนเวลา 15 นาทีไงล่ะครับ ” เหล่าลูกน้องของพี่เจี๋ยตอบกลับไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ ว่าไงนะค่ะ !! ” มิ้งหลังจากที่ได้ยินที่ลูกน้องของพี่เจี๋ยพูดก็ตกใจอย่างสุดขีด และหยุดอาการเหวี่ยงตัวไปมาทำให้ลูกน้องของพี่เจี๋ยคนหนึ่งโดนเหวี่ยงไปชนกำแพงห้องด้านหลังแตกร้าวเลยทีเดียว
“ แย่แล้วล่ะสิ ฉันเล่นทำห้องเราเละเทะเลย คานะจัง อาจารย์อาร์ซิลเลียนจะเข้าห้องมาแล้วนะ พอเถอะๆ คานะจังอยู่ไหนล่ะ ?! ” มิ้งนั้นเกิดอาการลุกลี้ลุกลนอย่างเห็นได้ชัด เธอนั้นพยายามถามหาคานะเพื่อนคนสนิทของเธอให้เลิกอัดซ้อมผมกับพี่ชิน
“ อะไรเล่า !! ใครเรียกฉันอีกล่ะเนี่ย โธ่เอ๋ยให้ฉันจัดการเรื่องของฉันก่อนได้ไหม ปล่อยนะ !! ” แถบไม่ต้องให้เดาเลยว่าใครที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงห้ามคานะที่ยังไม่ได้สติอะไรเลยอยู่
“ อาจารย์อาร์ซิลเลียนจะเข้าชั่วโมงแรกแล้ว พอเถอะ !! อยากให้ห้องเละกว่านี้รึไง ” พี่เจี๋ยพยายามตะโกนยัยคานะให้หยุดการกระทำของเธอด้วยความพยายามอย่างสุดขีด
“ อะไรนะ !! เมื่อกี้พี่พูดว่าอะไร ฉันไม่ได้ยิน !! ” คานะตะโกนตอบพี่เจี๋ยไป
“ พี่พูดว่า เดี่ยวอาจารย์อาร์ซิลเลียนจะเข้าชั่วโมงแรกแล้ว !!!……. ได้โปรดหยุดสักที !!!…….อยากให้ห้องเราเละเทะมากไปกว่านี้รึไง !!!……. ” พี่เขาตะโกนลากเสียงยาวตอบคานะกลับไปเป็นช่วงๆ จนทำให้คานะที่ตอนแรกกำลังไม่ได้สติอย่างรุนแรงกลับคืนสติมาดั่งเดิม 
“ เงียบหน่อยสิพี่ !! จะตะโกนทำไมเนี่ย ? ” คานะตะโกนตอบพี่เจี๋ยไป และจากนั้นเธอจึงหันหน้าไปถามมิ้งเพื่อความมั่นใจของตนเอง
“ จริงรึป่าวพี่มิ้ง !! หัวหน้าโง่คนนี้พูดเล่นใช้ไหม ? ” เธอถามมิ้งไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนเบาที่เต็มไปด้วยความมึนงง
“ จริงสิจ้ะ !! ลองดูสิตอนนี้ทั้งห้องกำลังวุ่นวายไปหมด อาจารย์กำลังจะมาถึงในอีกไม่นานแล้ว พี่ว่าเรารีบจัดเก็บสถานที่ของพวกเราให้เสร็จก่อนที่อาจารย์จะมาเถอะ ” มิ้งชี้ให้คานะเห็นถึงสภาพห้องปัจจุบัน
“ งั้นหรอ !! ถ้างั้นเราต้องรีบกันหน่อยแล้วสินะพี่ ” 
คานะนั้นหลังจากที่ฟังคำอธิบายของมิ้งจนเข้าใจสถานการณ์เรียบร้อยแล้วนั้น ทั้งสองคนก็รีบแบ่งกันจัดการสถานที่โดยทางด้านของมิ้งนั้นไปช่วยทางของอารินและชินซึ่งตอนนี้ดูเหมือนว่าทั้งสองคนยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย ในส่วนของคานะนั้นก็รีบตรงมาที่ผม
“ ตาบ้า นายนะลุกขึ้นมาเร็วเข้า !! อาจารย์จะมาที่ห้องแล้ว ” คานะจับที่แขนเสื้อชองผมพยายามที่จะดึงผมที่นั่งกองอยู่กับพื้นห้องเรียนอยู่ขึ้นมา โดยตอนนี้เองผมยังไม่รู้เช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องเรียนเพราะช่วงที่ผ่านมาผมมัวแต่เมาตีนของสองสาวอยู่
“ โอ๊ยๆ !! ” ยัยคานะบีบแขนของผม “ นี้เธอทำกับพี่กับเพื่อนของเธอแบบนี้งั้นหรอ ถ้าจะบีบแขนแรงอย่างนี้อย่าเรียกฉันว่าพี่เหอะ ” ผมพูดประชดประชันให้กับกิริยาของคานะ คานะเชิดใส่ผมเล็กน้อยและตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า
“ ฉันไม่เคยเรียกนายว่า พี่ อยู่แล้วล่ะ ” ผมได้แต่เกาหัวแสดงอาการท้อใจเท่านั้น
“ ว่าแต่มีอะไรล่ะค้าบยัยคานะ !! ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านี้แล้วนะ น้องคานะผู้แสนใจดี น่ารัก มีความเป็นผู้ใหญ่สูง ตัวใหญ่ ยกโทษให้พี่ด้วยเถอะนะ ” ผมขอร้องคานะด้วยอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงหมดกำลังต่อกร
“ งะ...งั้นเหรอ นายพูดจริงใช้ไหมเนี่ย ” เธอบิดอายแสดงอาการเขิญเล็กน้อย
“ จริงสิยัยเด็กซื่อคานะ !! ” เธอต่อยที่ท้องของผมหนึ่งครั้งหลังจากที่ได้ยินประโยคเมื่อครู่ 
“ แล้วมีเรื่องอะไรกันล่ะเนี่ย ?! ทำไมทุกคนในห้องดูวุ่นวายจังเลย มีอะไรกันรึป่าวเนี่ย ” ผมถามคานะถึงสถานการณ์ภายในห้องเรียนหลังจากกวาดสายตาดูสภาพของห้องที่กำลังวุ่นวายอยู่ขณะนี้
“ ตะ...ตาบ้า นะ...นายไม่รู้หรือไงว่าตอนนี้อาจารย์อาร์ซิลเลียนจะเข้าชั่วโมงแรกแล้ว ” 
“ บ้าน่า !! เขาจะเข้าชั่วโมงแรกเร็วขนาดนี้ได้ยังไง นี่ก็แค่ 8 โมง ..... ” หลังจากฟังคำที่คานะพูดออกมาเองนั้น ผมก็ไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหรจนกระทั่งผมลองตรวจสอบโดยมองมาที่นาฬิกาข้อมือที่อยู่ที่ข้อมือขวาของผม
“ 8 โมง 14 อ่อจำได้แล้วๆ เมื่อวานอาจารย์อาร์ซิลเลียนบอกว่าแกจะเข้าชั่วโมงแรกวันนี้เร็วนี่หว่า แล้วนี่..... ?! ” ผมพูดกับคานะเสร็จพร้อมกับหันไปดูสภาพรอบๆ ตัวเอง 
“ โอโห้ !! ทำไมมันถึงได้เละเทะขนาดนี้ล่ะ เมื่อกี้ฉันแทบไม่รู้เรื่องอะไรเลยตอนโดนพวกเธอซ้อม ไม่คิดว่า..... ” 
“ เพราะใครล่ะตาบ้า ”
“ เธอกับมิ้งยังไงล่ะ ไม่ใช้ความผิดพี่เลยแม้แต่นิดเดียว พวกเธอจัดการให้สะอาดเหมือนเดิมด้วยล่ะ พี่ไปล่ะ ” ผมพูดยังไม่ทันจบก็มีลูกกระสุนปริศนาพุ่งเข้ามาที่ผมแต่ผมหลบได้ ในขณะที่คานะวิ่งเข้ามาล็อคคอผมพร้อมกับเอาดาบจี้ที่คอของผม
“ นายพูดว่าอะไรนะ !! หวังว่านายคงรู้นะว่ากระสุนเมื่อกี้ทำไมมันพุ่งเข้ามาหานาย ไม่ต้องบอกเลยว่าเป็นของใครด้วย พูดดีๆ ได้ไหมเอ๋ย ? ” คานะพูดด้วยเสียงที่น่ากลัวทำเอาผมขาสั่นเลยทีเดียว
“ ล้อเล่นๆ พี่ไม่ได้พูดอะไรเลยจ้ะ ” 
“ แล้วไป !! ” เธอแสดงอาการโล่งใจพร้อมกับเก็บดาบคืนคาดเอาไว้ที่หลังตามเดิม
“ เกือบซวยแล้วเรา โถ่เอ๋ย !! น่ากลัวจริงยัยน้องๆ พวกนี้ ” ผมบ่นกับตัวเองเบาๆ 
“ ว่าไงนะ !! เมื่อกี้นายพูดอะไรของนาย ” คานะดันได้ยินซะงั้น
“ ไม่ได้พูดอะไร แหม่เธอนี่ !! คอยจับผิดฉันตลอดเลย คิดอะไรกับฉันรึป่าวเนี่ย ” ผมพูดกับคานะพร้อมเอามือตบที่ศีรษะของเธอเบาๆ
“ ตะ....ตะ….ตาบ้าเอ๋ย !! คะ…คะ….ใครบอกว่าฉันคิดอะไรกับนาย หาเรื่องรึไง !! คะ…คะ…คนอย่างนายไม่มีใครเขาสนใจหรอก บ้าๆ บ้าที่สุด !!! ” สีหน้าของเธอแดงก่ำได้อย่างเห็นได้ชัด โดยที่เธอเองนั้นก็เอามือทุบที่หลังของผมเบาๆ รัวเป็นหลายสิบครั้ง แก้อาการเขิญอายของตัวเอง 
“ เอาเถอะพอได้แล้วๆ ” ผมพูดบอกให้เธอหยุดทุบหลังของผม แต่เธอก็ไม่หยุด
“ ตาบ้าๆ นายพูดอะไร บ้าที่สุดๆ ” เธอยังคงทุบหลังของผมต่อไป
“ คานะ พี่เจ็บนะน้อง ” เธอส่ายหัวไม่หยุดและทุบหลังของผมต่อไป
“ คานะ ” ผมเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญ
“ ทำไมๆ นายต้องพูดอะไรน่าอาย อย่างนั้นด้วยมันน่าอายรู้ไหม บ้าๆ ” เธอทุบด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น
“ น้องคานาลิน ” ผมเริ่มขึ้นเสียง คานะยังคงทุบหลังผมต่อไปไม่หยุดพร้อมกับส่ายหัวไปมาเรื่อยๆ
“ อีคานะ !! ” ผมขึ้นเสียง เมื่อเธอได้ยินก็สดุงตกใจก่อนที่จะถีบผมไปติดกำแพงทันที 
ผมบ่นปวดหลังเล็กน้อยก่อนที่จะเดินมาหาเธอ “ พี่ล้อเล่น พี่ขอโทษน้า เดี่ยวพี่ไม่มีมุขให้ตลกกับเขาบ้าง ” ผมขอโทษเธอเล็กน้อย แต่เธอก็ยังเท้าเอวงอน “ เชอะ !! ” ผมไม่ได้สนใจอะไรจึงเปลี่ยนเรื่องคุยไปที่เรื่องของห้องแทน
 “ อาจารย์จะมาแล้วใช้ไหมล่ะ ? ถ้างั้นรีบเก็บข้าวเก็บของให้เป็นที่เป็นทางเถอะ เลิกเล่นกันได้แล้ว ป้ะ !! ไปกันเถอะยัยเปี้ยก ” ผมแอบด่าคานะทิ้งท้ายไว้ก่อนที่จะเดินไปจัดเก็บโต๊ะเก้าอี้ที่กระจัดกระจายไปหมดเต็มห้อง
“ ก็ได้ๆ มัวแต่บ่นอะไรอยู่ได้ก็ไม่รู้ตาบ้านี่ !! ” คานะยืนปลงอยู่สักพักก็นึกอะไรบางอย่างได้
“ เอ้ๆ !! เมื่อกี้นายแอบด่าฉันนี่ กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อนน้า !! ” คานะนั้นโมโหสุดขีดหลังจากได้ยินคำว่ายัยเปี้ยกจากปากของผมเอง และรีบวิ่งมาหาผมอย่างเร็วพร้อมกับมาทุบหลังผมเหมือนเมื่อครู่
“ ล้อเล่นๆ พอได้แล้ว ยัยเปี้ยก อุ้บ !! ” แต่ท้ายที่สุดแล้วผมก็ยังคงเผลอหลุดปากออกไป คานะนั้นโกรธผมไม่ใช้น้อยจนเธอเดินหนีเลิกคุยกับผมแล้วหันไปจัดห้องเรียนที่เละเทะอย่างตั้งใจแทน 
ผมนั้นหลังจากเล่นกับคานะเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น ผมก็ดันเพิ่งนึกขึ้นได้เกี่ยวกับสถานภาพของเพื่อนรุ่นพี่คนสนิทของผม พี่ชิน และด้วยความเป็นห่วงนั้นเอง ผมจึงเดินเข้าไปหาพี่ชินกับน้องอาริน แม้ว่ามิ้งจะเดินไปบอกทั้งสองคนเรื่องที่อาจารย์ประจำชั้นกำลังจะกลับมาที่ห้องแต่ทั้งสองคนไม่ได้ให้ความสนใจอะไรเลย เพราะตามปกติแล้วน้องอารินกับพี่ชินมักจะไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของคนอื่นๆ ในห้อง สองคนนี้มีโลกส่วนตัวของพวกเขาเอง เพื่อนที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็กๆ น้องอารินซึ่งเป็นคนที่ใสซื่อจนน่ากลัว กับพี่ชินที่มาดเข้มสงบเสงี่ยมแต่ภายในเป็นคนที่ร่าเริงออกแนวเก็บกด เพื่อนพี่น้องสองคนที่สามารถเข้ากันได้อย่างลงตัว จนเปรียบเสมือนคู่รักที่ใครก็อิจฉา ใช้ !! ผมคนหนึ่ง ท้ายที่สุดหลังจากผมช่วยพูดให้น้องอารินกับพี่ชินเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันภายในห้องในขณะที่มิ้งนั้นยืนอ่ำอึ่งทำอะไรไม่ถูกอยู่ สองคนนั้นไม่รอช้าก็ไปช่วยคนอื่นทำความสะอาดห้องในส่วนตรงหน้าห้องเช่นกัน ทางด้านผมและมิ้งนั้นก็ไปจัดการความสะอาดในส่วนหลังห้องโดยมีคานะคอยช่วยถูพื้นจากความสกปรกเพราะเศษผงดินปืนของผมอยู่
ผมพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะช่วยแบ่งเบาภาระของคนภายในห้องที่ตอนนี้กำลังยุ่งวุ่นวายกับการทำความสะอาดห้อง 2 ให้สะอาดเรียบร้อยในระดับที่อาจารย์นั้นพอใจ ในด้านของพี่เจี๋ยเองนั้นหลังจากเคลียร์เรื่องราวในมุมอับแต่ละมุมเรียบร้อย ในตอนนี้พี่แกเอาเก้าอี้มาวางบนโต๊ะแล้วจากนั้นตนก็ออกคำสั่ง ดูแลความเรียบร้อย เป็นพ่องานที่มีคุณภาพ ในทางฝั่งของเทอรี่และพี่เวลมิเรียที่ตอนนี้ชาร์กำลังรับผิดชอบอยู่ตอนนี้ดูเหมือนจะสามารถคลี่คลายได้เรียบร้อยแล้ว โดยคาอาร่านั้นใช้เลื่อยที่อยู่หลังห้องไม่รู้ว่าเป็นของใครเหมือนกันตัดโซ่ที่ล่ามเทอรี่อยู่ เทอรี่ก็หลุดจากกองไฟของพี่เวลมิเรียแล้วไปช่วยพวกคาอาร่าทำความสะอาดสถานที่บริเวณกลางห้องโดยไม่รอช้า ในขณะที่พี่เวลมิเรียยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเท่าไหรโดยมีชาร์คอยช่วยพูดอยู่ ความสามัคคีบังเกิดในห้อง 2 อย่างได้ชัด ขนาดตัวผมเองยังขนลุกขึ้นลุกลงหลายครั้งเลยทีเดียว แต่แล้วนั้นบางสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น !! 
“ ทุกคนตอนนี้อาจารย์อาร์ซิลเลียนอยู่ตรงหน้าห้องฝึกแล้ว อีก 1 นาทีมาถึงแน่นอน !! ” ลูกน้องของพี่เจี๋ยที่ได้รับมอบหมายให้เฝ้าประตูเอาไว้ตะโกนบอกทุกคนในห้องให้รีบจัดการสภาพภายในห้องให้เป็นปกติที่สุดก่อนที่อาจารย์จะมาถึง พี่เจี๋ยถึงกับสดุงเลยทีเดียว
“ ทุกคนเร่งมือกันหน่อยอาจารย์จะมาแล้ว เอางี้ !! เห้ยแก !! ล็อคประตูเลยยื้อให้ได้นานที่สุด เร็วเข้า !! ” พี่เจี๋ยตะโกนบอกเหล่าลูกน้องที่เฝ้าหน้าประตู
“ รับทราบหัวเน่า !! ” พวกเขาตะโกนตอบกลับมาทำเอาพี่เจี๋ยสดุงเล็กน้อย พวกเขานั้นล็อคและดันประตูถ่วงอาจารย์อาร์ซิลเลียนที่กำลังจะมา พี่เจี๋ยพอรู้อย่างที่ลูกน้องของเขารายงานแล้วนั้น ก็ไม่รอช้าถามถึงความเป็นไปของส่วนต่างๆ ในห้อง
“ อนันต์ !! ฝั่งหลังห้องเรียบร้อยแล้วรึยัง ?! ” พี่เขาตะโกนถามผมที่ตอนนี้กำลังจัดโต๊ะเก้าอี้ให้เป็นที่เป็นทางกับมิ้งและคานะอยู่
“ ใกล้...... ” ผมยังไม่ทันตะโกนตอบกลับไปเลย พี่เขาก็ตอบให้ผมเสียแล้ว
“ ดีมาก !! เอาให้สะอาดเลยนะอนันต์ พี่ไว้ใจนายนะ ฝากจัดการให้เรียบร้อยด้วย ” เหมือนพี่แกจะไม่อยากได้ยินคำพูดประมาณว่า “ ใกล้แล้ว ,ใจเย็นดิ ,แปปหนึ่งสิ ,โถ่จะรีบไปเต้นที่ไหนล่ะ ” พยายามเดาๆ เอานะ
“ เห้อ !! พี่มันจะรีบพูดไปไหนล่ะเนี่ย ? ” ผมบ่นกับตัวเอง
“ ก็นะพี่อนันต์ พี่เจี๋ยเขาก็เป็นคนแบบนี้อยู่แล้ว อย่าไปถือสาพี่เขาเลยนะค่ะ ” มิ้งบอก
“ เหอะๆ พี่ไม่คิดอะไรมากมายหรอก พี่เขาแก่แล้วไง (พี่เจี๋ยแอบเหล่มาทางผมนิดๆ ก่อนจะหันกลับไปคุมงานต่อ) พี่ชินกับเรื่องพวกนี้ไปแล้ว ขนาดแค่ 2 สัปดาห์นะเนี่ย ต่อจากนี้จะเป็นยังไงต่อไปเนี่ย จินตนาการไม่ออกจริงๆ ” 
“ นั้นสินะค่ะ ” มิ้งยิ้มให้กับผมแบบหวานๆ ทางผมนั้นหลังจากได้รับยิ้มของเธอ ผมก็ยิ้มหวานตอบเธอไปเช่นเดียวกัน
“ ชิ !! น่ารำคาญจริงๆ ” คานะซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ แสดงอาการรำคาญออกมาเล็กน้อย ทำเอาผมกับมิ้งแอบหัวเราะเบาๆ คานะก็ยังคงแสดงอาการเมินใส่ต่อไปและตั้งหน้าตั้งตาทำความสะอาดห้องแทน
“ เห้ย !! พี่ชิน ฝั่งของพี่เป็นยังไงบ้าง เรียบร้อยดีรึยังพี่ ? ” พี่เจี๋ยที่คอยเป็นพ่องานก็ตะโกนถามพี่ชินกับอารินและลูกน้องคนอื่นๆ ของพี่เขาที่กำลังเช็ดกระดานและจัดโต๊ะเก้าอี้ในส่วนด้านหน้าของห้อง
“ โอเคอยู่ๆ ไม่มีอะไรใกล้จะเสร็จแล้ว แกช่วยไปดูในส่วนกลางห้องเถอะเจี๋ย พวกไอ้เทอรี่กับคาอาร่าทำความสะอาดไม่ไหวแล้ว ” พี่ชินตะโกนบอกพี่เจี๋ยให้เห็นในส่วนกลางห้องที่เทอรี่และคาอาร่ารับผิดชอบอยู่ และดูเหมือนสภาพนั้นยังคงเละเทะอยู่เลย
“ โอ้โห !! เอาไงดีเนี่ย ” พี่เจี๋ยกุมขมับทันที
“ พี่เวลมาช่วยกันหน่อยสิ ไหนบอกว่าพี่เป็นแม่บ้านอันดับ 1 ไงล่ะ !! มาช่วยกันหน่อยสิพี่ !! ” เทอรี่ที่กำลังวุ่นวายกับการทำความสะอาดห้องอยู่ตอนนี้ตะโกนขอความช่วยเหลือจากพี่เวลมิเรีย
พี่เวลมิเรียที่ตอนแรกนั้นยังไม่รู้สึกใดๆ หลังจากที่ได้ยินเสียงตะโกนเมื่อครู่ก็ได้สติกลับมาทันที 
“ เอ้า !! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันจ้ะเจ๊ ทำไมทุกคนดูยุ่งวุ่นวายกันเหลือเกิน ” เธอถามชาร์ผู้กำลังวุ่นอยู่กับการจัดเก็บทำความสะอาด
ชาร์ตกใจเล็กน้อยหลังจากได้ยินเสียงที่งัวเงียของพี่เวลมิเรีย “ อ้าว !! นี่พี่ได้สติแล้วหรอเนี่ย แหะๆ ตอนนี้อาจารย์อาร์ซิลเลียนจะเข้าชั่วโมงแรกแล้ว ถ้าพี่ไม่รีบเก็บของของเธอให้เรียบร้อยล่ะก็ มีหวัง............. ”
ชาร์นั้นพูดยังไม่ทันจบพี่เวลมิเรียก็พูดแทรกขึ้นมา “ โอเคเจ๊ชาร์ พี่เข้าใจสถานการณ์แล้ว แค่จัดการข้าวของให้เรียบร้อยเป็นที่เป็นทางสินะ ” พี่เวลมิเรียลุกขึ้นแล้วสะบัดมือไปมาเหมือนแม่บ้านมือโปรเตรียมทำความสะอาด
“ อึ้ม...สู้ๆ นะพี่ ” ชาร์ตอบเบาๆ พร้อมกับโก่งตัวลงเล็กน้อยลีกทางให้พี่เวลมิเรีย
“ หวังว่าคงจะได้เรื่องนะ ” เจ๊ชาร์กระซิบกับตัวเองเบาๆ
“ ถ้างั้นก็....(เธอกระแอ้มออกมาเบาๆ) เด็กๆ มาหาแม่เร็ว !! เรามีเรื่องต้องจัดการให้เรียบร้อยกัน ” พี่เวลมิเรียตะโกนเรียกใครบางคนออกมา
“ พี่เรียกใครอ่ะพี่เวล ? ” ชาร์ถามหลังจากที่เธอไม่รู้ว่าพี่เวลมิเรียตะโกนลอยๆ เพื่อเรียกใคร
ไม่นานนักสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลายที่หนีเธอไปตอนแรกก็ต่างตรงมาหาที่เธออย่างรวดเร็ว ชาร์เองนั้นยังต้องหลบทางให้เหล่าน้องหมาที่พุ่งตรงมาหาเธอ “ นี่ไงจ้ะ เด็กๆ ที่น่ารักของพี่ ” พี่เวลมิเรียบอกให้ชาร์ฟัง ชาร์เห็นบรรดาสัตว์ที่มากมายของพี่เวลิมิเรียทำให้เธอยืนอึ้งเลยทีเดียว
“ นี่พี่เวลเสร็จรึยัง ?! มาช่วยกันได้แล้วน้าพี่ !! ” เทอรี่ตะโกนถาม
“ จ้าเสร็จแล้วจ้า จะไปช่วยเดี่ยวนี่แล้วจ้า !! ” พี่เวลมิเรียตะโกนตอบกลับ 
เธอเดินเข้าไปหาชาร์ที่กำลังยืนงงอยู่ “ เป็นไงบ้างเจ๊ชาร์ ? ทำไมยืนนิ่งเลยล่ะ แต่ว่าช่างเถอะนะ เวลาเป็นเงินเป็นทอง เจ๊ไปพักได้แล้วล่ะ ต่อไปนี้เป็นหน้าที่ของฉันเองไม่ต้องห่วง ” พี่เวลมิเรียตบที่ไหลของชาร์เบาๆ ก่อนที่เธอนั้นจะวิ่งไปหาเทอรี่ซึ่งกำลังรอเธออยู่ ปล่อยให้ชาร์นั้นยืนอ่าปากค้างอยู่ต่อไป
“ ทำอะไรของพี่อยู่ล่ะเนี่ย ? ทำไมถึงได้ช้านัก ห้องเราจะชิบหายอยู่แล้วพี่ ” เทอรี่ถามพี่เวลมิเรียด้วยน้ำเสียงที่ประชดประชัน พี่เวลมิเรียนั้นแอบเหล่ตานิดๆ หลังจากที่ได้ยินที่เทอรี่พูด
“ แล้ว มัน เป็น เพราะ ใคร ล่ะ จ้ะ หืม ? ว่าไงล่ะตอบมาสิ !! ” ตอนแรกเธอพูดด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงเว้นเป็นคำๆ ก่อนที่จะลงท้ายด้วยน้ำเสียงที่เหี้ยมโหดอำมหิตกลับมาอีกครั้ง
“ ขอโทษครับ !! ผมจะไม่พูดอีกแล้วครับพี่เวลมิเรียสุดสวย ” เทอรี่คุกเขาขอโทษขณะที่พี่เวลมิเรียกำลังทำหน้าอำมหิตใส่เขาอยู่
“ เอาเถอะไม่เป็นไรๆ เอาล่ะเด็กๆ !! ” เธอตะโกนเรียกเหล่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยให้มารับคำสั่งของเธอ
“ ฟังให้ดีๆ นะจ้ะ เดี่ยวพวกเธอช่วยคุณลุง คุณป้า เขาจัดการทำความสะอาดห้องให้เป็นระเบียบเรียบร้อยนะจ้ะ เดี่ยวถ้าทำดีนะ คืนนี้เดี่ยวฉันจะทำอาหารอร่อยๆ ให้พวกเธอกินกันนะ ” เมื่อสิ้นสุดคำสั่งของพี่เวลมิเรีย สัตว์เหล่านั้นก็รีบออกทำความสะอาดห้องอย่างเร็วไว้ ทำให้เป็นที่แปลกใจของเพื่อนทั้งห้องที่ทำความสะอาดอยู่รวมไปจนถึงตัวผมด้วย
พอลองฟังที่พี่เวลมิเรียพูด ผมก็สามารถคิดอะไรบางอย่างได้ ผมจึงสกิดยัยคานะเบาๆ “ นี่ๆ !! ป้าอย่าฝืนตัวเองนักสิเดี่ยวกระดูกไขข้ออักเสบขึ้นมาจะยุ่งไปกันใหญ่นะ ป้าคานะ ” ผมพูดเสร็จพร้อมกับรีบเดินออกห่างจากคานะไปเงียบๆ ปล่อยให้คานะยืนงงอยู่สักพักก่อนที่เธอจะสามารถเรียบเรียงความคิดของตนเองได้
“ หนอยแนะตาบ้า !! นายว่าใครป้ามิทราบย้ะ กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องน้า !! ” คำพูดเมื่อครู่ค่อนข้างได้ผลทีเดียวเชียว ยัยคานะรีบวิ่งมาทุบที่หลังของผมพร้อมกับสีหน้าที่แดงก่ำแสดงอาการเขิญอายเล็กน้อย
“ เชอะ !! คุณน้องเวลมิเรียกัดกันแบบเจ็บๆ แต่เช้าเลยนะ เอ้า !! ยัยป้าแว่นซุ่มซ้ามเทอะทะ อาริน ไปรีบทำความสะอาดตรงโน้นให้เสร็จกัน ” ชินที่แอบได้ยินที่พี่เวลมิเรียพูดอยู่ห่างๆ ก็เอาที่เธอพูดเมื่อครู่มาประจบอารินที่อยู่ข้างๆ
“ ค่ะ !! คุณลุงเฒ่าหัวงูพันกะโหลกพิฆาตเมดูซ่า ” อารินตอบกลับแล้วยิ้มหวานๆ ให้พี่ชิน ทำให้เขานั้นเป๋ไปไม่ถูกทางเลยทีเดียว แถมอารินยังหัวเราะกลับแบบปานกลางไม่ดังมากหลังจากเห็นปฏิกิริยาของพี่ชินที่ยืนอึ้งอยู่
เหล่าสัตว์น้อยใหญ่ของพี่เวลมิเรียนั้นทำความสะอาดห้องอย่างขยันขันแข็ง ทุกคนในห้องพอได้เห็นแบบนั้นแล้วต่างก็โล่งใจไปตามๆ กันที่ห้องสะอาดแต่คงไม่ใช้อย่างที่คิดไว้ เพราะ พอผมลองสังเกตอยู่ครู่ใหญ่ก็ต้องตกใจชี้ให้พี่ชิน อาริน คานะ มิ้ง ที่ทำความสะอาดอยู่ตรงหลังห้อง ดูผลงานของสัตว์เหล่านั้น ใช้มันสะอาดก็จริง กลางห้อง หน้าห้อง สะอาดมากๆ แต่เรา 5 คนลองสังเกตดูแล้ว มันโล่งสะอาดจนโต๊ะ เก้าอี้ ทั้งหมดในห้องถูกเจ้าสัตว์น้อยใหญ่เหล่านี้ยกไปกองไว้หลังห้องจนหมด
“ ลุงหัวหน้าเจี๋ย !! สุดยอดไปเลยห้องกลับมาสะอาดเอี่ยมอ้องแล้วครับ ทีนี้เราก็รอดจากเงื้อมมือของอาจารย์อาร์ตี้แล้ว ” ลูกน้องของเขาที่ไม่ได้ทันสังเกตสภาพของห้องพูดเสร็จพร้อมกับโห่ร้องแสดงความดีใจ
“ เห้ยๆ !! สะอาดบ้าอะไรเล่า พวกแกดูหลังห้องซะก่อนสิ ” พี่เจี๋ยตะโกนห้ามลูกน้องของพี่เขาพร้อมกับชี้ให้เห็นถึงผลงานอันล้ำเลิศ พอลูกน้องของพี่เขาทั้งหมดเห็นดังนั้นแล้วถึงกับเป็นลมกันเป็นแถวเลยทีเดียว
“ แล้วนี่เราจะทำยังไงกันดีเนี่ย !! อีกเดี่ยวอาจารย์จะมาแล้ว เจ๊ว่าพวกเราต้องรีบไล่เจ้าพวกสัตว์น้อยๆ นี่ออกไปกันก่อน เร็วเข้าเถอะทุกคน ” ชาร์พยายามตั้งสติแล้วเอ๋ยบอกให้ทุกคนไล่สัตว์เหล่านี้ออกไปกัน
“ เห้ยเจ๊ !! แล้วเราจะให้เจ้าพวกนี้ออกไปยังไงกันดีล่ะ ขืนออกไปทางประตูตอนนี้มีหวัง…….. ” เจี๋ยตะโกนถามชาร์ที่ตอนนี้กำลังม้วนอยู่กับไล่สัตว์น้อยใหญ่ของพี่เวลมิเรียอยู่
“ ก็ให้ออกไปทางหน้าต่างสิไอ้พี่โง่ !! ” เธอด่าพี่เจี๋ยกลับไปด้วยน้ำเสียงอันแสนห้าวของเธอเต็มๆ พี่เจี๋ยถึงกับหน้าแตกเลยทีเดียว เทอรี่ซึ่งอยู่ใกล้ก็ดันไปหัวเราะกวนๆ ให้เขาได้ยินอีกเลยโดนเจี๋ยเอาหนังสือเล่มนั้นมาตีศีรษะเขาอีกครั้ง
ทางของผมซึ่งอยู่หลังห้องพอดีนั้นก็รีบยกโต๊ะยกเก้าอี้กลับมาให้อยู่เป็นที่เป็นทาง “ เอาเร็วๆ เอออย่าอู้งานกัน ขยันขันแข็งเข้าไว้ อาจารย์กำลังจะมาแล้ว ” พี่ชินซึ่งยืนออกคำสั่งอยู่ห่างๆ กวนประสาทผมซึ่งกำลังยกโต๊ะอยู่ ผมจึงแกล้งพี่เขาโดยเอาโต๊ะทุ่มใส่พี่เขาเต็มๆ “ อุ้ย !! หลุดมือ ”
พี่เขาลุกขึ้นมาด้วยอาการเจ็บปวด “ ทีหลังไม่ต้องหลุดมือบ่อยๆ ก็ได้นะ นี่ถ้าบอกว่าตั้งใจทุ่มจริงๆ พี่คงตายไปแล้ว น้องอนันต์ ” พี่เขาพูดประชดผมกลับมา แต่สุดท้ายพี่เขาก็ลุกมาช่วยเราขนข้าวของเหมือนเดิม
ทางฝั่งของชาร์เองที่กำลังพยายามไล่เหล่าสัตว์น้อยใหญ่ของพี่เวลมิเรียอยู่อย่างลำบากนั้น ก็ต้องเจอกับปัญหาที่ไม่สามารถไล่พวกสัตว์ไปได้ แม้ชาร์จะรับจ้างทำงานหารายได้เสริมมาหลายรูปแบบ แต่ชาร์เคยเหล่าให้ผมฟังว่า มีงานอยู่ 2 ประเภทที่เธอจะไม่รับ คือ ดูแลเด็กและดูแลสัตว์ เมื่อชาร์หมดปัญญาจะไล่สัตว์เหล่านั้น ชาร์จึงตะโกนเรียกพี่เวลเพื่อขอความช่วยเหลือ 
“ พี่เวลมิเรียมาช่วยกันหน่อยสิพี่ พวกเจ้าตัวเล็กตัวน้อยของพี่ไม่ยอมออกไปสักทีอ่ะค่ะ ” พี่เวลรีบวิ่งมาหาทันที
“ ทุกคนจ้ะ !! ออกไปกันได้แล้ว ยังไงๆ เดี่ยวเย็นนี้ฉันทำอาหารให้กินอยู่แล้วน้า ไปเร็วๆ ” ทันทีที่สิ้นคำพูดของพี่เวลมิเรีย เหล่าสัตว์น้อยใหญ่ก็พากันออกไปทางหน้าต่างหายไปหมดภายในพริบตา ทำเอาชาร์งงจนต้องเข้าไปถาม
“ อะไรของเจ้าพวกนั้นล่ะเนี่ย นี่ !! พวกนั้นคงไม่ได้ฟังคำสั่งของพี่ผิดจริงๆ หรอกนะ ” ชาร์ถาม
“ มันผิดพลาดทางเทคนิกอ่ะจ้ะ เจ๊ แหะๆ ” เวลมิเรียตอบพร้อมกับมีเหงื่อไหล่ออกมาเล็กน้อยแสดงอาการหน้าแตก เสียงแหะๆ ของพี่เวลมิเรียเป็นเสียงที่ถ้าฟังเวลาเดียวกันจะได้ความรู้สึกน่ารักและน่าตบ ทำเอาชาร์หัวเสียเล็กน้อย
“ ไม่ต้องพูดให้มันสวยหรูก็ได้จ้ะ คุณนายเวลมิเรีย !! ” ชาร์พูดประชดตอบกลับไป
“ กุลสตรีที่ดีต้องรู้จักวางตัวในสังคมนะจ้ะ เจ๊ชาร์เองก็มาจากตระกูลอันสูงส่งเหมือนกับฉันหนิ ฉันว่าเจ๊เองก็ควรเก็บเอาไปทำเป็นแบบอย่างบ้างก็ดีนะ ” พี่เวลมิเรียเตือนชาร์ด้วยอาการที่เป็นห่วง
“ พอดีเจ๊คงเป็นกุลสตรีที่เสียแล้วมั้งค่ะ อีกอย่างทั้งเจ๊กับพี่เองก็ไม่ได้มีอะไรเหมือนกันมากหรอก ต่างกันสุดขั้วด้วยซ่ำไป ” ชาร์เอามือทั้ง 2 ข้างล้วงกระเป๋าเสื้อแจ็คเกตของเธอแล้วตอบพี่เวลมิเรียกลับไปด้วยกิริยาห้าวๆ ออกนักเลง ทำให้พี่เวลมิเรียยิ้มแก้มปริออกมาตามรสนิยมความน่ารักแบบแปลกๆ ของพี่เวล
ชณะที่ทุกคนกำลังจะเก็บห้องเรียนอยู่นั้น ก็มีเสียงตะโกนจากลูกน้องของพี่เจี๋ยที่ได้รับหน้าที่เฝ้าอยู่หน้าห้อง “ หัวหน้า ทุกคน !! ตอนนี้อาจารย์ใกล้มาถึงห้องแล้วอีกไม่ถึงนาทีอาจารย์ถึงหน้าประตูแน่นอน เร่งมือกันเข้าทุกคน !! ” ด้วยเสียงตะโกนนั้นเองทำเอาทุกคนตกใจกันไปหมด ห้องที่ยังไม่สะอาดเรียบร้อยนั้น ความซวยของพวกกระผมกำลังจะมาเยือน ส่งตรงถึงห้องกันถ้วนหน้าทุกคนแน่นอน ขึ้นชื่อว่าเป็นอาจารย์ประจำชั้นสุดโหด มันส์ ฮา และแปลก (อย่าพูดแบบนี้ต่อหน้าอาจารย์เขานะ โดนกระทืบตายแน่นอน) ของพวกผมที่มีชื่อว่า “ อาร์ซิลเลียน ” ด้วยสิ


ติดตามต่อตอนที่ 2
ขอบพระคุณทุกท่านที่อ่านจนจบ
เป็นความกรุณาอย่างยิ่ง

- Copyright © 2013 ANIBON OFFICIAL - Anibon Official - All Edited by Phuboat Anibon - Designed by Johanes Djogan -